ตอนที่ 10 รองเท้าคู่นี้
ภายในไป๋หลานกง ฝูหลินนั่งที่หน้าคันฉ่องสยายเกศาเงางามดุจธารน้ำตก ส่วนซู่เหยา เซียนรับใช้ของฝูหลินจุดกำยานไม้กฤษณา ซู่เหยาอยู่กับฝูหลินมาร่วมสามเดือนนางมองสตรีมนุษย์กึ่งเซียนเสมือนเป็นนายผู้หนึ่ง และเป็นนายที่ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวนาง หรือบ่าวรับใช้ในตำหนัก มีแต่ความเอื้ออาทรให้กับเซียนรับใช้ นายของนางจะปรุงอาหารแทบทุกครั้ง ฝูหลินกล่าวว่า นางติดรสชาติอาหารเช่นมนุษย์ นางจึงทำด้วยตัวเอง มีพวกเซียนรับใช้ในครัวคอยเป็นลูกมือ ฝูหลินถวายให้ฉีเหวินหวางเย่กับหนี่อู่เป็นประจำ และถูกปากพวกเขายิ่งนัก
“กงจู่เพคะ ทรงทราบหรือยังเพคะว่า เหล่าเซียนที่ขึ้นทะเบียนต้องไปลู่เหวินกง เรือนปักษาวารี ไท่จื่อทรงเป็นผู้ตัดสินว่าผู้ใดจะได้ทำหน้าที่อะไร”
ไม่ทันที่ซู่เหยากล่าวจบพระสางหยกขาวล่วงหล่นจากมือของนาง ซู่เหยาจึงเก็บขึ้นมา ซู่เหยานึกขึ้นมาได้ว่าคำว่าอิ๋งหงไท่จื่อ เป็นคำต้องห้ามไม่ให้พูดต่อหน้ากงจู่ของนาง นางอยากจะตบปากตัวเองดังๆ สักพันครั้ง ซู่เหยานางจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“ไปเดินเล่นที่อุทยานจันทราประกาศิตดีหรือไม่เพคะ วันนี้ดอกบัวบานสะพรั่งเหมาะสมกับการไปดูชมยิ่งเพคะ”
“ไม่ ข้าอยากอ่านคัมภีร์เต๋า เจ้าช่วยไปเอาที่ห้องตำรามาให้ไปเอามาให้ข้าที” ฝูหลินเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
“เพคะ” ซู่เหยาลุกขึ้น บังคมฝูหลินผู้เป็นนาย
‘พรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร สุดแล้วแต่จะเป็นไป เมื่อไม่มีบุพเพและวาสนาขอให้เจอเขาครั้งนี้เพียงครั้งเดียว'
เหล่าบรรดาเซียนชายหญิงมายังลานหน้าลู่เหวินกง เรือนปักษาวารี รอเวลาไท่จื่อเสด็จมา แต่พอเฉิงซุน เซียนกวน เซียนคนสนิทของไท่จื่อมากล่าวให้เข้าตำหนัก พวกเหล่าเซียนต่างพากันเข้าตำหนักโดยพลันไม่รีรอ
ตำหนักไป๋หลาน หญิงสาวใบหน้างดงามเจ้าของตำหนักยังคงหลับใหล ไม่ช้าหญิงสาวอาภรณ์ขาวสะอาดตาเดินเข้ามาในตำหนักอย่างว่องไว มองฝูหลินที่ผ้าไปทางหมอนไปทาง หนี่อู่นั่งลงแล้วสะกิดฝูหลินให้ตื่น
“ฝูหลินนี่มันยามไหนแล้ว เจ้ายังไม่ตื่น วันนี้เจ้าต้องไปรับตำแหน่งที่เรือนปักษาวารี” หนี่อู่กล่าว ฝูหลินลืมตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“หนี่อู่ยามไหนแล้ว” ฝูหลินเอ่ยถามระคนงัวเงีย
“ยามเฉินแล้ว” (ยามเฉิน 07.00-08.59น.)
“ยามเฉิน” ฝูหลินร้องด้วยความตกใจ แล้วเอามือตบหน้าผาก หนี่อู่จึงเอ่ยถาม
“เมื่อคืนเจ้าร่ำสุราดอกท้อใช่หรือไม่”
“นิดหน่อยเอง” ฝูหลินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน แล้วก้าวเดินไปที่คันฉ่องจัดผมของตน ซู่เหยาจัดผมให้ ปักปิ่นหางหงส์ให้ตรงเข้าที่ เป็นปิ่นชิ้นเดียวที่ใส่มาสามพันกว่าปี ไม่มีใครรู้ว่าทำไมนางถึงรักและหวงแหนปิ่นชิ้นนี้นัก
“เดิมทีข้าจะไปส่งเจ้าที่ลู่เหวินกง แต่เจ้ากลับเมาจนตื่นสายเสียนี่” หนี่อู่บ่นเบาๆ
“ไม่เป็นไร ข้าไปเอง”
ฝูหลินกล่าวแล้วจึงวิ่งออกไปทันที
“ฝูหลิน” หนี้อู่กล่าวแผ่วเบา ถอนหายใจโดยพลัน
ฝูหลินวิ่งมายังลู่เหวินกง แสดงป้ายหยกประจำตัวที่องค์ชายฉีเหวินเป็นผู้ให้ ส่งให้ทหารวังดู ทหารวังจึงเอ่ยกล่าวขึ้น
“เสินหฺนฺวี่ ใกล้หมดเวลาเข้าเฝ้าไท่จื่อแล้วท่านรีบไปเถิด”
“ขอบคุณพวกท่าน” ฝูหลินถกกระโปรงวิ่งเข้าลู่เหวินกง ก้าวเดินมายังเรือนปักษาวารี ได้ยินเซียนกวนกำลังกล่าวชื่อ และบอกตำแหน่งเซียน ฝูหลินก้มโค้งไม่ให้ใครเห็นว่านางเดินเข้ามา แต่ก็ไม่พ้นสายพระเนตรที่มองจากบันไดขั้นที่แปด ฝูหลินนางไม่สนใจสิ่งใดนอกจากหาที่ยืนได้อย่างมั่นคงสักที่ จนเจอที่ว่างสำหรับนาง
ชายบนเหนือบันไดนั้นคงเป็นไท่จื่ออิ๋งหง เราต้องไม่มองเขา อย่ามองเด็ดขาด เดี๋ยวเจ้าจะเก็บอาการคิดถึงเขาไม่อยู่
“ฝูหลิน เสินหฺนฺวี่” เซียนกวนเรียกชื่อนาง ฝูหลินอยู่ในพะวังเกิดอาการตกใจจึงร้องตะโกนออกไป
“เจ้าค่ะ”
ทำเอาเหล่าเซียนทั้งหลายต่างหัวเราะ ฝูหลินเบิกตากว้างด้วยความโกรธ จึงเอ่ยปากถามเหล่าเซียน
“พวกท่านขำอะไรข้า มีอะไรน่าขำหรือ” ฝูหลินเอ่ยเสียงดังพอ ทำให้เหล่าเซียนเงียบ เซียนกวนเอ่ยขึ้นตักเตือนนาง
“ฝูหลิน เสินหฺนฺวี่อย่าส่งเสียงดัง”
“เจ้าค่ะ” ฝูหลินเอ่ยแผ่วเบา
“ฝูหลิน เซียนระดับเสินหฺนฺนี่ ท่านได้รับตำแหน่งเป็นเซียนบุปผชาติ สังกัดหมิ่นหลั่นกงจู่ แห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า” เซียนกวนเอ่ยบอกฝูหลิน ฝูหลินจึงก้าวออกมารับราชโองการ ก้มหน้าก้มตารับพระราชโองการไม่สบพระพักตร์ที่มองลงมาที่นาง แล้วฝูหลินก้มหน้าก้มตาเดินไปยืนที่เดิมปรากฏว่า ฝูหลินเหมือนคนมองตลอดเวลา นางเองไม่เงยหน้าขึ้นมอง ตอนนี้ใครจะมองก็ช่าง ตอนนี้ในใจของนาง รอเพียงเซียนกวนกล่าวโองการสวรรค์จบนางจะรีบออกจากที่นี่ทันที ไม่นานเกินที่นางรอคอย เมื่อได้ยินเสียงจบราชโองการ นางจึงจะเดินก่อน แต่ทว่านางกลับได้ยินเสียงของชายหนุ่มที่คุ้นเคยยิ่งนักดังขึ้นจากด้านหลังของนาง ทำให้หยุดชะงักทันที
“เจ้าเดินเท้าเปล่ามาหรือ” ไท่จื่อตรัสถามด้วยพระสุรเสียงดังพอสมควร ฝูหลินจึงมองเท้าตัวเอง ทำให้นางตกใจยิ่งนักว่าตนเองเดินเท้าเปล่ามาได้อย่างไร รีบขนาดไหนก็ควรสวมรองเท้าก่อนออกมา ทันใดนั้นรองเท้าสีขาวนวลมาอยู่ตรงหน้าของนาง ทำให้เงยหน้าขึ้นสบสายตาอิ๋งหงไท่จื่อโดยทันที
'อิ๋งหงไท่จื่อ ต่างจากอายงของข้ายิ่งนัก เขาดูแปลกไป ในแววตาของเขาทอแสงอ่อน แต่คงความแข็งกร้าว สง่างาม น่าเกรงขาม มีอำนาจ ทว่าข้ารู้สึกยิ่งใกล้เหมือนห่างกันแสนไกล’
“เอารองเท้าคู่นี้ไปใส่ รองเท้าคู่นี้ข้ายังไม่ได้ใส่ แล้วไม่ต้องเอามาคืน” อิ๋งหงไท่จื่อตรัสเรียบเฉย ทรงส่งรองเท้าให้นาง
“ไท่จื่อ หม่อมฉันไม่เอารองเท้าของพระองค์ได้หรือไม่เพคะ” ฝูหลินทูลถามแผ่วเบา
“ไม่ได้” ไท่จื่อตรัสเรียบเฉยแล้วยื่นรองเท้าให้นางอีกครั้ง ฝูหลินจึงรับไว้
“เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลาเพคะ” ฝูหลินเอ่ยกล่าว พอหันหลังจะเดินออกไป ไท่จื่อตรัสขึ้นมาอีกครั้ง
“ใส่รองเท้าที่ข้าให้เสียด้วย”
ฝูหลินนางอยากจะโยนรองเท้าคู่นี้ออกไปข้างนอกให้รู้แล้วรู้รอดเลยทีเดียว แต่ว่าไม่ทำ วางลงสวมใส่ แล้วจึงเดินกัดริมฝีปากออกไปจากตำหนักด้วยความหงุดหงิดใจ
