ตอนที่ 8 ฝันรักพันปี
หลังจากเผ่ามารมัจฉาและเผ่ามารพยัคฆ์ชาด ล่มสลายไปแล้ว ยังเหลือเผ่ามารอีกสามเผ่าที่เหลืออยู่ได้แก่ เผ่ามารหงสาดำของลั่วหยางเฮยม่อหวัง เผ่ามารวิหกทมิฬของจื่อรั่วเฮยม่อหวังและเผ่ามารสมิงขาวของหลี่เหว่ยเฮยม่อหวัง ที่ยังคงแย่งชิงความเป็นใหญ่ แต่ทว่ามารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือประมุขเผ่ามารสมิงขาวหลี่เหว่ยเฮยม่อหวัง (เฮยม่อหวัง แปลว่า จอมมาร)
“ข้าว่าเราบุกสวรรค์ให้รู้ดำรู้แดงไปเลย” ลั่วหยางเฮยม่อหวัง เผ่าหงสาดำเอ่ยบอดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ลั่วหยางใจเย็นก่อน ท่านลืมไปแล้วหรือว่าพญามารฮวาเฟยผนึกไว้เช่นไร” หลี่เหว่ยเฮยม่อหวังเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่สน ข้าจะบุกสวรรค์ให้รู้ไปเลยว่า เผ่าเรามีแต่เก่งอาจที่สวรรค์ต้องยำเกรง” ลั่วหยางยืนยันคำพูดเดิม
“เจ้าจะเอาเผ่าเราไปตายหรือ ยิ่งเจ้าผลีผลามเช่นนี้จะเสียมากว่าได้ ต้องคิดและวางแผนก่อน จริงหรือไม่หลี่เหว่ย” ลั่วหยางเอ่ยบอกแล้วหันไปมองหลี่เหว่ย
“เราต้องปรึกษาและวางแผนไม่ใช่เอาตัวเองไปตายเช่นหลิวอวี้ แห่งเผ่ามัจฉา” หลี่เหว่ยเอ่ยบอก
“พวกท่านสองคนปรึกษาไม่ได้เลยจริงๆ” ลั่วหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดลุกจากบัลลังก์ตรงออกจากที่ประชุม
“ลั่วหยาง เจ้าจะไปไหน” หลี่เหว่ยเอ่ยถามลั่วหยาง
“ไปคิดหาวิธีเปิดศึก”
ไท่จื่ออิ๋งหง ทรงประทับนั่งที่ห้องทรงพระอักษรภายในลู่เหวินกง ทอดพระเนตรมายังฎีกาไม่ได้อ่านวางเรียงบนถาดไม้กฤษณาสามม้วน และทอดพระเนตรมายังที่ทรงอ่านแล้วอยู่ตรงพระพักตร์ แล้วทรงประทับตรา ม้วนฎีกาวางไว้บนถาดไม้กฤษณาอีกหนึ่งถาด ไม่ช้าเฉินซุนย่างก้าวเข้ามาในตำหนักพร้อมถ้วยชาวางลงที่วางบนโต๊ะ แล้วถอยหลังสองก้าว
“ตอนนี้เผ่ามารเป็นเช่นไรบ้าง” ไท่จื่อตรัสถามด้วยพระสุรเสียงเรียบเฉย แต่สายพระเนตรยังคงอยู่บนตัวอักษรนั้น แล้วจึงกล่าว
“บัดนี้ยังไม่มีการเคลื่อนไหวพระเจ้าค่ะ” เฉินซุนเอ่ยตามความจริง ไท่จื่อทรงละจากฎีกา แล้วเสวยพระสุธารสชาในถ้วยแล้ววางลง
“เช่นนี้ก็ดี อีกสามเดือนข้างหน้าเทียนจวินให้ข้าตรวจสอบทะเบียนเซียน ช่วยเอารายชื่อมาให้ข้าดูด้วย”
“พระเจ้าค่ะ” เฉินซุนบังคมถอยหลังหกก้าวแล้วเดินจากไป
ณ ถ้ำงูของหนี่อู่ เป็นที่อยู่ที่อาศัยของนาง บัดนี้นางบำเพ็ญเพียรถึงซ่างเสินมาได้สามพันปี น้อยนักที่อสรพิษจะบำเพ็ญเพียรถึงเทพขั้นสูง ตลอดเวลาสามพันปีมานี้สิ่งเดียวที่นางเป็นห่วงคือสหายของนางคือ ฝูหลิน เดิมทีนางเฝ้าเวียนไปสำนักของซ่างจวินกลัวฝูหลินจะลำบาก แต่ทว่าฝูหลินนางเข้ากับศิษย์ในสำนักได้ดีทีเดียว นางจึงคลายกังวลใจอย่างมาก ฉีเหวินหวางเย่พึ่งมาบอกข่าวว่า จะรับฝูหลินขึ้นไปเป็นเซียน เข้าทะเบียนเซียนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า นางก็พลอยยินดีไปด้วย แต่ทว่า
“ฉีเหวิน ท่านจะให้ข้าไปอยู่จื่อหลั่นกงเป็นเพื่อนฝูหลิน ท่านคงไม่ได้คิดจะเอาเปรียบข้าหรอกนะ” หนี่อู่เอ่ยด้วยความสงสัย และก้าวถอยหนี ฉีเหวินตรัสด้วยจริงจังขึงขัง
“หนี่อู่ ข้าชอบเจ้านั้นก็จริงอยู่ แต่ถ้าไม่มีเจ้าอยู่เป็นเพื่อนนาง แล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนนาง เจ้าลองคิดดู ข้าเป็นชายคนเดียวในจื่อหลั่นกง แล้วถ้านางมาอยู่ในตำหนักเดียวกับข้า ผู้อื่นจะมองนางเป็นเช่นไร”
หนี่อู่ลองคิดวิเคราะห์ดูจริงอย่างที่ฉีเหวินได้มีพระดำริ นางจึงเอ่ยกล่าวตอบ
“ได้”
“ดีมาก”
หญิงสาวอาภรณ์ขาวสะอาด ยกไหเหล้าดอกท้อที่นางเป็นคนบ่มด้วยตัวเองยกขึ้นดื่มขึ้น เหม่อมองจันทราบนฟากฟ้าแดนไกล ทำให้หวนรำลึกความหลังเมื่อแรกเจอเขาที่สำนักเซียนลู่ เขาได้ขโมยบัวมังกร ความเป็นจริงถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็ของอย่าได้เจอเขาเลยเสียดีกว่า มันทำให้เจ็บปวดจนถึงบัดนี้
ตอนนี้คู่ควรกับคำนี้ที่สุด
'ฝันรักพันปี'
แต่ทว่ามีเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับตบบ่าของนางเบาๆ ฝูหลินจึงหันไปมองด้วยสีหน้านิ่งเฉย
“เจ้ามาทำดื่มเหล้าชมจันทร์ผู้เดียวได้อย่างไร ทำไมไม่เรียกพวกข้ามาด้วยล่ะ” ศิษย์สี่อวี้เหรินเอ่ยบอก พร้อมส่งไหเหล้าให้นาง นางจึงรับไว้และดื่มหมดไหโดยทันที
“ฝูหลินเจ้ามีเรื่องอะไร ไม่สบายใจบอกข้ากับพวกเราได้น่ะ อย่าเก็บไว้คนเดียวพวกข้าทุกคนรักและเป็นห่วงเจ้า” ศิษย์เก้าหลิวกั๋วเอ่ยบอก
“ใช่ๆ สามพันกว่าปีที่อยู่ด้วยกันมา เจ้าคือศิษย์น้องสิบสอง เป็นน้องเล็กสุด อีกอย่างเจ้าเป็นหญิงผู้เดียว ใครรังแกเจ้า ข้าจะไปจัดการให้ทันที” ศิษย์สี่อวี้เหรินเอ่ยขึ้น อีกทั้งยังกำหมัด แล้วแปะมือข้างที่ไม่ได้กำหมัดฝูหลินจึงเอ่ยขึ้นด้วยความซาบซึ้ง
“ฝูหลิน ต้องขอบคุณศิษย์พี่สี่และศิษย์พี่เก้ายิ่งนัก ตอนนี้ไม่มีใครทำอะไรฝูหลินคนนี้หรอก ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล พวกท่านจะอยู่ดูจันทร์ที่หน้าผาก่อนก็ได้ ข้าจะไปนอนก่อนนะ” ฝูหลินเอ่ยบอกลุกขึ้นยืนทรงตัวให้มั่นคง แล้วเดินจากไป ศิษย์เก้าหันไปถามศิษย์สี่ ด้วยความสงสัย
“ฝูหลินเป็นอะไร วันนี้หลังกลับมาจากสำนักนางก็ดูหม่นหมองยิ่ง เหมือนครั้งแรกที่เข้าสำนัก พวกข้าถามนางก็บ่ายเบี่ยง”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ข้าก็ลองเอ่ยถามนางทางอ้อม นางก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกอะไรเลย”
“เจ้ามาทำดื่มเหล้าชมจันทร์ผู้เดียวได้อย่างไร ทำไม ไม่เรียกพวกข้ามาด้วยล่ะ” ศิษย์สี่ อวี้เหรินเอ่ยขึ้น พร้อมกับไหเหล้าส่งให้นาง นางจึงรับไว้ขึ้นดื่มหมดไห
“ฝูหลินเจ้ามีเรื่องอะไร ไม่สบายใจบอกข้ากับศิษย์พี่สี่ได้น่ะ อย่าเก็บไว้คนเดียวพวกข้าทุกคนรักและเป็นห่วงเจ้า” ศิษย์เก้า หลิวกั๋วเอ่ยบอก
“ใช่ๆ สามพันกว่าปีที่อยู่ด้วยกันมา เจ้าคือศิษย์น้องสิบสอง เป็นน้องเล็กสุด อีกอย่างเจ้าเป็นหญิงผู้เดียว ใครรังแกเจ้า ข้าจะไปจัดการให้ทันที” ศิษย์พี่สี่ อวี้เหรินเอ่ยขึ้น อีกทั้งยังกำหมัดแล้วแปะมือข้างที่ไม่ได้กำหมัดฝูหลินจึงเอ่ยขึ้นด้วยความซาบซึ้ง
“ฝูหลิน ต้องขอบคุณศิษย์พี่สี่และศิษย์พี่เก้ายิ่งนัก ตอนนี้ไม่มีใครทำอะไรฝูหลินคนนี้หรอก ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล พวกท่านจะอยู่ดูจันทร์ที่หน้าผาก่อนก็ได้ ข้าจะไปนอนก่อนนะ” ฝูหลินลุกขึ้นยืนทรงตัวให้มั่นคงแล้วเดินจากไป ศิษย์เก้าหันไปถามศิษย์สี่ ด้วยความสงสัย
“ฝูหลินเป็นอะไร วันนี้หลังกลับมาจากสำนักนางก็ดูหม่นหมองยิ่ง เหมือนครั้งแรกที่เข้าสำนัก พวกข้าถามนางก็บ่ายเบี่ยง”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ข้าก็ลองเอ่ยถามนางทางอ้อม นางก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกอะไรเลย”
