บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 ข้อเสนอ

รถยนต์ซีดานสีขาวมุกจอดที่หน้าประตูรั้วที่กำลังเลื่อนเปิดอัตโนมัติ ก่อนที่รถจะแล่นเข้าไปจอดในตัวบ้านพร้อมกับเจ้าบ้านทั้งสองที่เชิญให้แขกแปลกหน้าเข้าไปนั่งพัก

ณรินมองไปรอบๆ บริเวณบ้านด้วยความตื่นเต้น บ้านหลังนี้ไม่ได้ใหญ่เหมือนคฤหาสน์ในนิยาย แต่ก็ใหญ่โตมากสำหรับคนที่ไม่เคยมีบ้านอย่างเธอ

“นั่งพักตามสบายนะจ๊ะ ถ้าหายตกใจแล้วเดี๋ยวฉันไปส่ง” จริญรัตน์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แม้แววตาจะดูเศร้าจากปัญหาที่ยังหาทางออกไม่ได้

“เอ่อ ค่ะ ขอบคุณนะคะ” หญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดตอบรับด้วยความเกรงใจ ก่อนที่ท้องของเธอจะร้องออกมา แล้วก้มหน้าด้วยความเขินอาย

“งั้นเดี๋ยวกินข้าวด้วยกันก่อน เข้าไปนั่งพักในบ้านเถอะ”

“จะดีเหรอจี๊ด ให้เธอเข้าไปในบ้าน”

“ให้ฉันนั่งรอข้างนอกนี่แหละค่ะ ตรงนี้ลมเย็นดี” ลูกสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่เกรงใจก่อนจะชี้ไปยังไม้หินอ่อนใต้ต้นมะม่วงที่อยู่หน้าบ้าน

“งั้นนั่งรอตรงนี้นะเดี๋ยวฉันจะทำกับข้าวเผื่อเสร็จแล้วเดี๋ยวจะยกออกมากินด้วยกัน” จริญรัตน์พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นกันเองในขณะที่คิมหันต์มองแขกแปลกหน้าด้วยสายตาที่ไม่ค่อยไว้วางใจนักจนหญิงสาวจะต้องหลบสายตาไป

สองสามีภรรยาเข้าไปในบ้านพร้อมกันทิ้งให้คู่กรณีสาวนั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนหน้าบ้านเพียงลำพัง ณรินมองไปรอบๆ บ้านด้วยสายตาที่ชื่นชม สวนของบ้านถูกจัดเอาไว้อย่างสวยงามโดยเฉพาะต้นกุหลาบที่ปลูกเรียงรายอยู่ริมรั้วด้านหน้า ที่ออกดอกบานสะพรั่ง บ่งบอกถึงความใส่ใจในการดูแล

ลานบ้านเทปูนซีเมนต์ ในสวนก็มีอิฐตัวหนอนวางเรียงราย เว้นช่องไว้ปลูกดอกไม้ และเว้นช่องให้ต้นไม้ใหญ่สองต้นคือต้นมะม่วงที่เธอนั่งอยู่ และอีกฝั่งหนึ่งไม่มั่นใจว่าใช่ต้นชมพู่หรือไม่ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเรื่องวัชพืชได้ดี ทำให้ดูแลสวนได้ง่ายขึ้น

“มองอะไร กำลังสำรวจหาช่องทางเข้าออกอยู่เหรอ” คิมหันต์ถามขึ้นมาตรงๆ ขณะที่เขานำน้ำดื่มออกมาวางให้แก่เธอ

“เปล่าค่ะ ฉันแค่มองว่าบ้านของคุณจัดสวนได้ดี วางอิฐเรียงเอาไว้ในสนามหญ้าไม่ให้วัชพืชขึ้นสูง เว้นช่องว่างไว้เฉพาะตรงที่ปลูกต้นไม้และดอกไม้ ฉันก็แค่ชื่นชมความคิดนี้ก็เท่านั้นค่ะ” หญิงสาวบอกอย่างละเอียดในสิ่งที่ตนกำลังพิจารณาอยู่ เขาเงียบแล้วจ้องมองเธอก่อนถามไถ่ถึงอาการบาดเจ็บ

“แล้วขาเป็นยังไงบ้าง”

“ไม่ได้เจ็บแล้วค่ะ น่าจะเจ็บแค่ตอนล้มลงไปมากกว่า ถ้าฉันกินข้าวเสร็จแล้วฉันจะรีบออกไปค่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล ไม่ใช่แค่เขาหรอกที่จะระแวงว่าเธอเป็นพวกมิจฉาชีพ เธอเองก็รู้สึกไม่ไว้วางใจคนแปลกหน้าในเมืองใหญ่อย่างเขาเช่นกัน

สักพักอาหารก็พร้อมเสิร์ฟ จริญรัตน์ยกหม้อขนาดกลางออกมาโดยมีสามีของเธอยกจานและช้อนส้อมตามมาติดๆ

“ฉันกลัวเธอจะหิวน่ะก็เลยทำเมนูง่าย เป็นข้าวผัดเธอกินได้อยู่ใช่ไหม”

“ได้หมดค่ะ ฉันกินอะไรก็ได้ ขอบคุณมากนะคะ”

จริญรัตน์ตักข้าวผัดให้เธอสองทัพพีก่อน หญิงสาวรับไปแล้วเริ่มลงมือกินด้วยความหิว ทำให้จริญรัตน์มองด้วยความสงสารและเห็นใจ ดูจากสภาพแล้วเธอคงเข้ามาในเมืองใหญ่เพื่อหางานทำ ก่อนที่ความคิดหนึ่งจะผุดขึ้นในหัว

“ดูจากกระเป๋าที่เธอสะพายมาแล้ว เพิ่งมาถึงเหรอ มีที่พักหรือยัง”

หญิงสาวเคี้ยวข้าวในปากแล้วรีบกลืนลงไปก่อนที่จะรีบตอบคำถาม “ใช่ค่ะ ฉันเพิ่งมาถึงเมื่อเช้านี้เอง กำลังเดินหาที่พักอยู่ แต่ว่าเจอแต่ห้องราคาแพงๆ ทั้งนั้นเลย ฉัน เลยเดินไปเรื่อยๆ เผื่อจะเจอห้องเช่าราคาถูกแล้วก็หางานทำไปด้วยค่ะ”

“แล้วเธอเรียนจบอะไรมาล่ะ”

“ฉันเรียนจบปวส.การตลาดในวิทยาลัยการอาชีพค่ะ”

“แล้วมานี่พ่อแม่ไม่ว่าเหรอ” เจ้าของบ้านวัยสามสิบห้าปีถามต่อด้วยความสงสัย

“พ่อกับแม่ของฉันเสียไปแล้วค่ะ ฉันอยู่กับตายายท่าน แต่พวกท่านก็เพิ่งเสียไปเมื่อไม่นานมานี้ ฉันเลยอยู่กับป้า…” หญิงสาวหยุดพูดแค่นั้น ดวงตาของเธอดูวูบไหวราวกับมีเรื่องอะไรในใจที่พูดไม่ได้ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานต่ออย่างเงียบๆ

“เธอหนีมาเหรอ” จริญรัตน์ถามขึ้นตรงๆ คิมหันต์ที่นั่งเงียบอยู่นานก็มองอย่างสนใจ ประวัติของวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่มาจากต่างจังหวัด ถ้าไม่หนีออกจากบ้านก็คงเป็นเพราะมีปัญหาครอบครัว

ณรินพยักหน้ารับ น้ำตาคลอเบ้าเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จนต้องหนีตายมากับกระเป๋าเดินทางเพียงใบเดียว

“ค่ะ ฉันหนีออกมาเพราะว่าลุงเขยพยายามจะลวนลามฉันหลายครั้ง ฉันบอกป้าไปแล้วแต่เธอก็ไม่สนใจ แล้วยังหาว่าฉันเป็นฝ่ายยั่วยวนเอง ฉันก็เลยตัดสินใจเอาเงินเก็บทั้งหมดที่มีเดินทางมาหางานที่นี่ มาตายเอาดาบหน้าดีกว่าต้องตกนรกที่นั่น” เธอพูดแล้วน้ำตาก็ไหลอาบแก้มลงมา ก่อนที่จะยกแขนปาดน้ำตาแล้วตักกินข้าวต่อเพราะความหิวนั้นไม่สามารถทนรอได้

“ถ้าฉันมีงานให้เธอทำ เป็นงานที่อาจจะฟังดูแปลกหน่อย แต่เธอสนใจไหม” จริญรัตน์ถามหยั่งเชิง

“งานอะไรคะ ถ้าไม่เกินความสามารถ ฉันก็อยากทำค่ะ” ณรินถามพร้อมกับมองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง

“อุ้มท้องลูกแทนฉันที”

เมื่อได้ยินหญิงสาวก็เบิกตาขึ้น ก่อนที่จะขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ

“หมาย… หมายความว่ายังไงเหรอคะ”

“ฉันไม่สามารถตั้งท้องเองได้ ฉันเลยจะฝากลูกของฉันไว้ในท้องของเธอ ให้เธอเป็นคนอุ้มท้องและช่วยคลอดให้ หรือที่เรียกว่าอุ้มบุญน่ะ”

คิมหันต์กำลังจะพูดขัดภรรยา แต่เมื่อเขาสบสายตากับจริญรัตน์แล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก รู้ว่าเธอคาดหวังกับเรื่องนี้มากแค่ไหน

“แต่คนที่จะอุ้มบุญอย่างถูกกฎหมายต้องเป็นญาติกัน แล้วก็ต้องผ่านการตั้งครรภ์มาแล้วไม่ใช่เหรอคะ ฉันเคยดูในละครมาก็เป็นแบบนี้ ถ้าหากฉันอุ้มท้องให้คุณ คุณอาจจะไม่สามารถรับเด็กเป็นลูกตามกฎหมายได้” หญิงสาวพูดในสิ่งที่เธอรู้ คิมหันต์มองว่าเธอฉลาดพอตัวเลยทีเดียว

“เรื่องนั้นเธอไม่ต้องสนใจ ขอแค่เธอรับปาก เราจะมีวิธีการทำให้ลูกเป็นของเราเอง”

ณรินมองสองสามีภรรยาด้วยความลังเล เธอยังไม่เคยมีแฟนแต่จะอุ้มท้องลูกของคนอื่นฟังดูมันก็แปลกๆ อยู่

“ฉันจะให้เธอพักที่บ้านหลังนี้ด้วยกัน ฉันจะดูแลเธอตั้งแต่ท้องจนกว่าจะคลอด จ่ายเงินเดือนให้เดือนละ 10,000 บาท ค่าอาหารและค่ากินข้าวอยู่ฉันจะออกเองทั้งหมดเธอไม่ต้องจ่ายอะไรเลย แล้วหลังจากคลอดฉันก็จะจ่ายให้เธออีก 100,000 แลกกับการที่เธอเซ็นสัญญาจะยกลูกให้เป็นลูกบุญธรรมของเรา” จริญรัตน์ยื่นข้อเสนอที่ทำให้หญิงสาวลังเลเป็นอย่างมาก

เงินสองแสนในชีวิตของเธอไม่ใช่จะหามาได้ง่ายๆ

“ตกลงค่ะ ฉันจะอุ้มท้องแทนคุณ”

“ดีเลย งั้นพรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปตรวจสุขภาพนะ ตอนที่สอบถามประวัติเธอก็บอกว่าเป็นญาติห่างๆ ของฉันที่มาจากต่างจังหวัด ขั้นตอนเอกสารการเซ็นสัญญาต่างๆ เดี๋ยวฉันจะทำให้เสร็จเลย” จริญรัตน์บอกด้วยความตื่นเต้น

หญิงสาวพยักหน้าก่อนที่จะมองข้าวผัดในหม้อข้าวด้วยสายตาที่รู้สึกเกรงใจเล็กน้อย

“ไม่อิ่มเหรอ มาเดี๋ยวฉันตักข้าวให้เพิ่ม” จริญรัตน์พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและมีเมตตา

ณรินเขินอายเล็กน้อยและรู้สึกเกรงใจ แต่ว่าเธอก็ไม่อยากปล่อยให้ท้องหิวจึงยื่นจานให้ พร้อมกับสังเกตว่าคิมหันต์มองเธอมาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยชอบใจนัก แต่ว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไร ดูท่าทางเขาแล้วน่าจะเป็นฝ่ายที่ยอมภรรยามาก

************************
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel