บทที่ 6 เปิดชีพจร
บทที่ 6
เปิดชีพจร
เพราะมีสกิลความเป็นพระเอก ตงฟางอู๋เฟินจึงเรียนรู้ได้เร็ว
หลังจากซูอีสอนวิชาประจำสำนักและวิชาลับ ‘ปราณสวรรค์’ ให้เมื่อครั้งก่อน เพียงแค่กระบวนท่าเริ่มต้นก็ทำให้ความสามารถของชายหนุ่มรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว แต่หากจะฝึกขั้นต่อไปสิ่งสำคัญคือการเปิดจุดชีพจร
จากข้อบกพร่องของตัวเอง ถึงได้รู้ว่าตอนที่นางรีบร้อนฝึกปราณสวรรค์ นอกจากจิตใจไม่สงบนิ่งจนเป็นเหตุให้ธาตุไฟเข้าแทรก อีกวิธีที่ป้องกันไม่ให้เลือดคลั่งก็คือการเปิดจุดชีพจรนั่นเอง
กันไว้ดีกว่าแก้ ซูอีคิดว่านางควรต้องเปิดจุดชีพจรให้กับตงฟางอู๋เฟินไปพร้อมๆ กับให้เขาฝึกปราณสวรรค์
ในช่วงบ่ายของวันหนึ่ง หลังจากตงฟางอู๋เฟินฝึกวิชายุทธ์เสร็จ ซูอีก็มาหาเขาที่เรือนพัก อันที่จริง ตงฟางอู๋เฟินฝากตัวเป็นศิษย์ของสำนักดาบจันทร์เสี้ยวแล้ว ควรได้พักในเรือนของศิษย์ แต่เนื่องจากไม่มีศิษย์พี่หรืออาจารย์คนใดยอมรับ ชายหนุ่มจึงถูกไล่ให้ไปนอนข้างนอก แม้แต่ห้องเก็บฟืนก็ไม่ให้ใช้ ด้วยเหตุนี้ นางจึงจัดแจงหาที่พักใหม่ให้ ซึ่งก็คือเรือนแยกใกล้ๆ เรือนของนางนั่นเอง
“เจ้าถอดเสื้อออกแล้วไปนอนบนเตียง”
สิ้นคำสั่งของซูอี ตงฟางอู๋เฟินทำหน้าเลิ่กลั่ก มิหนำซ้ำปลายหูยังขึ้นสีแดง
เจ้าหมาน้อยนี่ ทั้งที่อายุยี่สิบกว่าแล้ว แต่ตอนเขินกลับน่ารักไม่เบา
จากเนื้อเรื่องตอนนี้ ตงฟางอู๋เฟินยังไม่เคยลิ้มรสสวาทจากสตรีคนใด หากไม่ใช่เพราะถูกซูอีล่อลวง เขาก็คงยังบริสุทธิ์ผุดผ่องจนกระทั่งได้เจอกับนางเอก
ซูอีกลั้นขำให้กับความไร้เดียงสาของตงฟางอู๋เฟินก่อนจะบอกซ้ำ
“ถอดเสื้อออก แล้วไปนอนตรงนั้น”
ชายหนุ่มยังคงทำหน้าเหลอหลา ไม่ยอมทำตาม
“ข้าจะทำการเปิดชีพจรให้เจ้า ถ้าไม่อยากธาตุไฟแทรกตอนเดินลมปราณก็จงทำตามที่ข้าสั่ง” ซูอีอธิบายพร้อมกับกลั้นยิ้ม
“อ...อ้อ ขอรับ”
“ทำเช่นนี้แล้ว การไหลเวียนของพลังปราณจะได้ดีขึ้น”
หลังจากที่ซูอีอธิบายเพิ่มเติม ชายหนุ่มก็ถอดเสื้อออกแล้วเดินไปนอนคว่ำหน้าบนเตียง
ร่างกายของตงฟางอู๋เฟินนั้นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ผิวสีแทนสุขภาพดี บอกชัดถึงความทุ่มเทที่ชายหนุ่มมีต่อการฝึกวิชายุทธ์ แต่ถึงอย่างนั้นกลับถูกตงฟางเหยียนที่เป็นอาแท้ๆ ทำลายวรยุทธ์ทิ้ง ตอนที่หนีออกมาจากสำนักเขาคงจะปวดใจไม่น้อยเลยสินะ
คิดพลางกดจุดชีพจรบนแผ่นหลังกว้าง โดยเริ่มจากตำแหน่งหัวไหล่ ลากลงมาถึงบั้นเอว หัวนิ้วโป้งหยุดลงตรงตำแหน่งจุดชีพจรหลัก ออกแรงกดค้างไว้พร้อมกับถ่ายเทลมปราณ ซูอีทำซ้ำๆ ประมาณห้ารอบ พอกำลังจะเริ่มกดจุดยังตำแหน่งใหม่ ชายหนุ่มกลับขยับยุกยิกเหมือนไม่สบายตัว
“รู้สึกไม่ดีหรือ”
ไม่เพียงถาม ซูอียังจับมือของตงฟางอู๋เฟินมาแตะชีพจร
เลือดและลมปราณของเขาไหลเวียนดีขึ้นกว่าเดิม มีก็แค่ร่างกายที่ร้อนผ่าว ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่เป็นอันตราย แต่ว่าก็นิ่งนอนใจไม่ได้
“นี่เจ้าคงไม่ได้ถูกธาตุไฟแทรกหรอกกระมัง...เอ๊ะ!?”
ด้วยกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันกับตงฟางอู๋เฟิน นางจึงรีบจับเขาพลิกหงาย หากก็ต้องส่งเสียงประหลาดใจในท้ายประโยคเมื่อสายตาปะทะเข้ากับบางอย่างที่บวมพองใต้กางเกง
ชายหนุ่มร้อง “อ๊ะ!” อย่างตกใจ รีบหันกายนอนตะแคง
ซูอีนิ่งขึงไปชั่วขณะ
...ว่าแต่ ใหญ่ไม่เบาเชียวนะพ่อหนุ่ม ขนาดพอๆ กับแท่งหยกที่อยู่ในห้องนางเลย ทั้งยังมีรูปทรงสมบูรณ์แบบ นี่สินะถึงทำให้เหล่าตัวละครหญิงติดอกติดใจ ไม่เว้นแม้แต่ตัวร้ายหญิงอย่างซูอีที่หลังจากล่อลวงพระเอกจนขึ้นเตียงได้แล้ว ก็ไม่อยากตัดใจไปจากเขา หากความโลภไม่มีชัยเหนือกว่าละก็นะ…
“เจ้าสำนักเจี๋ย...”
เสียงทุ้มดังขึ้น
ซูอีดึงสติกลับ เพิ่งรู้สึกตัวว่าตนจ้องมอง ‘ส่วนลับ’ ของตงฟางอู๋เฟินนานเกินไป ซูอีแกล้งเลื่อนสายตามองไปทางอื่นทำทีเป็นว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น จากนั้นเสกระแอมทีหนึ่ง
“ดีขึ้นหรือไม่”
“ดะ ดีขอรับ” ชายหนุ่มละล่ำละลักตอบ
“ดีแบบไหน”
“เอ่อ...รู้สึกเหมือนตัวเบาขึ้น แล้วก็ เลือดไหลเวียนดีขึ้น”
“ข้าบอกแล้ว เปิดจุดชีพจรนั้นสำคัญมาก” นางแสร้งกล่าวเสียงใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“...ขอรับ”
“หลังจากนี้เจ้าก็ค่อยๆ ฝึกปราณสวรรค์ขั้นต้นไปก่อน อีกวันสองวันข้าจะสอนขั้นถัดไปให้เจ้า”
“ขอรับ”
วันถัดมา ตงฟางอู๋เฟินแสดงกระบวนท่าร่วมกับปราณสวรรค์ให้ซูอีได้เห็น
เขาทำได้ดีทีเดียว กระบวนท่าถูกต้องและยังรวดเร็วไร้ที่ติ ทำเอาซูอีเผลอเข้าไปประลองยุทธ์กับเขา ทั้งสองผลัดกันรุกและรับกระบวนท่าอยู่ในสวนไผ่
พอฝึกฝนเสร็จ ซูอีอดจะชมเชยตงฟางอู๋เฟินไม่ได้
“เจ้าเรียนรู้ได้เร็วยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นพระ...” คำว่า ‘พระเอก’ ถูกกลืนลงท้องอย่างรวดเร็ว แล้วเปลี่ยนเป็น “ศิษย์ของข้า”
ภายใต้สายลม เสียงลำต้นไผ่เสียดสี ตงฟางอู๋เฟินยิ้มละมุนให้กับซูอี ทว่าน่าเสียดาย ที่คนทางนี้ไม่สนใจนัยน์ตาสีดำคมเข้มซึ่งแฝงความหมายอื่น
ซูอีครุ่นคิดถึงเนื้อเรื่องหลังจากนี้ ตงฟางอู๋เฟินยังมีเวลาฝึกฝนวิชาอีกนานแค่ไหนก่อนที่ตงฟางเหยียนจะบุกมาที่นี่นะ?
