บทที่ 5 ตงฟางอู๋เฟินรู้ความจริง
บทที่ 5 ตงฟางอู๋เฟินรู้ความจริง
ทันทีที่ซูอีเข้ามาถึงป่าไผ่ซึ่งเป็นสถานที่ลับตา นางเท้าแขนกับต้นไผ่ด้วยท่าทีอ่อนแรง ก่อนจะพ่นเลือดลงพื้นเสียงดังพรวด!
“เจ้าไม่ควรช่วยเขาไปมากกว่านี้ หาไม่แล้ว เจ้าได้ตายก่อนอายุขึ้นเลขสามอย่างแน่นอน”
ทั้งที่คิดว่าไม่มีคนอื่นอยู่ตรงนี้แล้ว ที่ไหนได้ เสียงของเกอจิ้นกลับดังขึ้นข้างหลังของซูอี ทั้งยังเป็นน้ำเสียงที่เย็นชา ไม่สนใจโลก
หญิงสาวหันกลับไปมองเจ้าของเสียงนั้น แกล้งถามอย่างติดตลก
“ไม่ยักรู้ว่าเจ้าจะมีนิสัยถ้ำมอง หึหึหึ”
“ป่าไผ่นี้เป็นสถานที่ฝึกวิชาของข้า เป็นเจ้าที่ล่วงล้ำเข้ามาเอง” ชายหนุ่มพูดพลางมองหญิงสาวด้วยสีหน้าเยือกเย็น
หากไม่ใช่เพราะนางเป็นคนแต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้นมากับมือ คงหลงคิดว่าเกอจิ้นเกลียดนางเสียแล้ว
แท้จริง เกอจิ้นนั้นมีนิสัยซึนเดเระ(ปากแข็ง) ยิ่งเขาแสดงความเย็นชากับนางมากเท่าไร นั่นหมายความว่าเขายิ่งเป็นห่วงนางมากเท่านั้น
ซูอีเช็ดเลือดตรงมุมปากพลางกล่าวว่า “ชีวิตคนเรานั้นสั้นกว่าที่คิดมากนัก เจ้าเป็นห่วงข้า ข้าย่อมรู้ดี ขอบใจเจ้านะ”
“ใครบอกว่าข้าเป็นห่วงเจ้า!” เกอจิ้นเถียงกลับทันควัน “แค่คิดว่าเจ้าไม่มีเหตุผลที่ต้องเอาชีวิตไปทิ้งเพื่อเด็กไม่รู้จักโตคนนั้น”
ตอนที่เกอจิ้นพูดประโยคนั้นจบ เสียงสวบสาบพลันดังนั้น เมื่อหันมอง เป็นจังหวะเดียวกับที่ตงฟางอู๋เฟินหยุดฝีเท้าพอดี ชายหนุ่มยืนอยู่ในป่าไผ่ ไม่ใกล้และไม่ไกลจากตำแหน่งที่นางกับเกอจิ้นคุยกัน
ถ้าฝ่ายนั้นปฏิเสธว่าไม่ได้ยิน เห็นทีคงเป็นจะโกหกแล้ว
ตงฟางอู๋เฟินก้มศีรษะแสดงความเคารพให้กับเกอจิ้น ก่อนหลุบตามองเลือดบนพื้นด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
ซูอีขยับตัวมายืนบดบังเลือดบนพื้นอย่างแนบเนียนที่สุด ก่อนจะถามฝ่ายนั้นออกไป
“ตามข้ามา มีธุระอะไรหรือ”
“ข้าเป็นห่วงเจ้าสำนักเจี๋ยจึงตามมาดู ไม่คิดว่า...”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น ข้ายังสบายดี”
ซูอีชิงกล่าวตัดบทก่อนชายหนุ่มจะพูดจบประโยค
แม้นางจะกล่าวโกหก แต่สีหน้าที่ซีดเซียวกลับโกหกไม่ได้
เพราะเสียเลือด สีหน้าของซูอีจึงดูอ่อนล้าเต็มทน พอตงฟางอู๋เฟินเห็นแบบนั้น ชายหนุ่มยิ่งแสดงออกว่ากำลังไม่สบายใจ
“เจ้าสำนักเจี๋ยดีกับข้ายิ่งนัก แต่ข้ารู้ดีว่าท่าน...”
“อาเฟิน เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้านั้นไม่ใช่คนดีอย่างที่เจ้าคิด”
“ท่านหมายความว่า?”
“หากข้าบอกว่า ที่ทำดีกับเจ้าเพราะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง เจ้ายังคิดว่าข้าเป็นคนดีอยู่อีกหรือไม่” ซูอีใช้น้ำเสียงและสีหน้าเหมือนหยั่งเชิง
ชายหนุ่มเม้มปากเงียบ ไม่รู้ว่าพูดไม่ออก หรือไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี
ซูอีกล่าวติดตลก “ช่างเถอะๆ ข้าถึงได้ย้ำกับเจ้านักหนาอย่างไร คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ สักวันหนึ่งข้าอาจเรียกร้องให้เจ้าตอบแทนข้าด้วยร่างกายก็เป็นได้”
ที่ทำดีกับเขาก็เพราะต้องการคนคุ้มครองและนำพิษล้างกระดูกจากตระกูลอี้มาให้ก็เท่านั้นเอง นั่นคือสิ่งที่ซูอีอยากจะบอก
ทว่า...ตงฟางอู๋เฟินกลับโพลงเสียงดัง
“ไม่ว่าจะถูกท่านหลอกใช้หรืออะไร ข้าล้วนเต็มใจทำทั้งสิ้น!”
“เอ๊ะ!?”
ชั่ววูบนั้นหัวใจของซูอีกระตุกวาบ ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างไม่ทราบสาเหตุ
สกิลของพระเอกน่ากลัวจริงๆ!
แค่คำพูดประโยคเดียว ก็ทำให้คนร้อนวูบวาบขนาดนี้
ซูอีคิดพลางยกมือขึ้นมาโบกพัดใบหน้าที่ร้อนผะผ่าว ขณะเดียวกันก็พยายามสงบใจให้นิ่งเข้าไว้
“เจ้าพูดผิดพูดใหม่ได้นะ เต็มใจทำเพื่อข้าหรือ ช่างเป็นคนที่โง่เขลาเสียจริง”
“ข้าเต็มใจทำเพื่อท่าน แม้ว่าท่านจะหลอกใช้ข้าก็ตาม...ไม่ใช่สิ แม้แต่ร่างกายและวิญญาณของข้า ถ้าเจ้าสำนักเจี๋ยต้องการ ข้าก็มอบให้ท่านได้”
“มอบให้ข้า แม้แต่จิตวิญญาณเลยหรือ”
“ใช่ขอรับ” เขาพยักหน้าตอบอย่างจริงจัง
“...!?”
คราวนี้ซูอีตกใจจนพูดไม่ออก ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะหนักแน่นเพียงนี้
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เกอจิ้นก็เดินเข้ามายืนขวางหน้าระหว่างซูอีกับตงฟางอู๋เฟิน
“ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว เจ้าสำนักเจี๋ยต้องการพักผ่อน”
ตงฟางอู๋เฟินมองซูอีด้วยความลังเล เพียงครู่ถึงยอมตอบเกอจิ้นว่า “ขอรับ”
แม้ภายนอกตงฟางอู๋เฟินดูเหมือนเชื่อฟังคำพูดของเกอจิ้น แต่มีวูบหนึ่งที่นัยน์ตาสีดำลึกล้ำของเขาทอดมองซูอีด้วยความรู้สึกผิดและเป็นกังวล
