บทที่ 4 ตอบแทนด้วยร่างกาย
บทที่ 4
ตอบแทนด้วยร่างกาย
อย่างที่เคยกล่าวข้างต้น เนื่องจากตงฟางอู๋เฟินถูกตราหน้าว่าทรยศเนรคุณ หลังจากชายหนุ่มฝากตัวเข้าสำนักดาบจันทร์เสี้ยว ก็ไม่มีศิษย์พี่คนใดเต็มใจสอนวิชาให้ พอได้ตำรามา ชายหนุ่มจึงฝึกฝนวิชาด้วยตัวคนเดียวแบบผิดๆ ถูกๆ
หากเป็นแค่นิยาย ซูอีคงปล่อยผ่าน แต่วิญญาณดันเข้ามาอยู่ในร่างตัวร้ายหญิงที่มีจุดจบอเนจอนาถ นางไม่อยากตกอยู่ในความทุกข์ทรมานไร้จุดสิ้นสุดตามเนื้อเรื่องก่อนจึงต้องทำดีกับพระเอกเข้าไว้
อย่างแรก ซูอีปั้นหน้าอ่อนโยน เดินเข้าไปหาตงฟางอู๋เฟินที่กำลังฝึกวิชาอยู่ตามลำพัง ก่อนจะชี้แนะเขาทีละกระบวนท่า
“เจ้าต้องหันข้อมือแบบนี้...และแบบนี้...”
“เจ้าสำนักเจี๋ย?”
ตงฟางอู๋เฟินไม่คิดว่าเจ้าสำนักจะสั่งสอนตนด้วยตัวเองจึงมีท่าทีตกใจ มือที่ถือดาบโค้งลักษณะจันทร์เสี้ยวลดต่ำลงข้างตัวกะทันหัน
“หากมองจากพื้นฐานและกระบวนท่า วิชากระบี่เหมาะสมกับเจ้ามากกว่า” นางบอก
“ข้าต้องการสังหารตงฟางเหยียน หากไม่ใช้กระบวนท่าที่มีความเร็วในการโจมตี โอกาสที่จะจู่โจมคนผู้นั้นย่อมยาก”
ชายหนุ่มยืนกรานหนักแน่นว่าจะฝึกวิชาที่มุ่งเน้นความเร็วอย่างดาบวงเดือนให้ได้
จากการต่อสู้ตัวต่อตัวครั้งก่อน ตงฟางอู๋เฟินคงรู้ข้อผิดพลาดถึงได้ยืนยันแบบนั้น ซูอีเข้าใจดี และยอมรับความคิดของชายหนุ่ม
“ในเมื่อเจ้ายืนยันเช่นนี้ ข้าก็จะสอนวิชาให้ แต่ห้ามบอกใครล่ะ เข้าใจไหม”
ไม่เพียงพูด ซูอียังยกนิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากของตน กำชับกำชากับตงฟางอู๋เฟิน หากเรื่องที่นางสอนวิชาแพร่งพรายออกไปคงมีข่าวลือเสียๆ หายๆ อีกเป็นแน่ ถึงตอนนั้นคนที่ลำบากก็คือเขา
ดวงตาสีดำลึกล้ำของตงฟางอู๋เฟินจ้องนางตาไม่กะพริบ
พอเห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้ตอบรับ นางเอียงศีรษะส่งเสียงถาม
“มีอะไรสงสัยหรือ”
“อ๊ะ! ไม่มีขอรับ” ชายหนุ่มตอบเหมือนเพิ่งได้สติ
“ถ้าอย่างนั้น...ข้ายังมีอีกอย่างหนึ่งให้เจ้าจดจำ ดูให้ดีล่ะ”
ว่าแล้ว ซูอีก็ประสานมือ ดึงลมปราณมาไว้กลางอก ก่อนจะส่งถ่ายพลังปราณนั้นไปทั่วร่างกาย จากนั้นก็เริ่มออกกระบวนท่าของสำนัก ความเร็วและความรุนแรงของกระบวนเพิ่มขึ้นหลายส่วน
ชายหนุ่มมองตาไม่กะพริบ ความเลื่อมใสเพิ่มพูนทบทวี
ในตอนที่กำลังขับเคลื่อนพลังปราณไปอีกระดับหนึ่ง ซูอีก็รู้สึกแน่นในอกจนทนจะรับไม่ไหว นางหยุดกระบวนท่า สูดหายใจลึกและยาว ก่อนจะลดมือลงโดยไม่แสดงสีหน้าทรมาน
“ถึงจะเป็นวิชาสำนักดาบจันทร์เสี้ยว แต่กลับมีความเร็วและรุนแรงหลายเท่า เจ้าสำนักเจี๋ย วิชานี้เรียกว่าอะไรหรือ” ตงฟางอู๋เฟินสอบถามด้วยความสนใจ
ซูอีอธิบาย “วิชาของสำนักดาบจันทร์เสี้ยวขับเคลื่อนด้วยพลังปราณ สิ่งสำคัญไม่ได้มีแค่ความเร็วของกระบวนท่า แต่เป็นพลังปราณด้วย”
“อย่างนี้นี่เอง”
“เจ้าอยากเอาชนะตงฟางเหยียนใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างแน่วแน่
นางพูดต่อ “แค่วิชาสำนักข้ายังไม่พอ ถึงสู้กับเขาได้ แต่สุดท้ายเจ้าก็แพ้ย่อยยับอยู่ดี พูดง่ายๆ ถึงไม่ตาย แต่ไม่มีโอกาสชนะ”
“ทำไมหรือ”
“การประลองยุทธ์แต่ละสำนักที่จัดขึ้นทุกปี ได้เผยทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งของแต่ละสำนักหมดแล้ว คิดหรือว่าผู้ที่อยู่ในยุทธภพจะไม่หาแก้กระบวนท่าของกันและกัน”
“จริงด้วย”
ตงฟางอู๋เฟินเข้าใจคำพูดของนางอย่างถ่องแท้
“วิชาที่ข้าแสดงให้เจ้าดูเมื่อครู่เรียกว่า ‘คัมภีร์ปราณสวรรค์’ นอกจากช่วยเสริมให้พลังปราณของผู้ใช้แข็งแกร่ง ยังเสริมวิชายุทธ์ให้ก้าวหน้าอีกหลายขั้น นอกจากวิชาดาบ วิชากระบี่ เจ้ายังต้องฝึกปราณสวรรค์นี้ด้วย”
จริงๆ นางแทบไม่มีคุณสมบัติสอนวิชานี้ให้กับเขาด้วยซ้ำ จากความผิดพลาดถูกธาตุไฟเข้าแทรก จะตายแหล่มิตายแหล่ การใช้ปราณสวรรค์ถือเป็นความเสี่ยงใหญ่หลวง
หลังจากนางอธิบายจบ สายตาคมเข้มของตงฟางอู๋เฟินก็มองซูอีอย่างเลื่อมใสจากก้นบึ้ง เหมือนสุนัขตัวน้อยที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้านายอย่างถวายหัว
เห็นอย่างนี้ก็รู้สึกว่าเริ่มมีความหวัง การทำดีกับตงฟางอู๋เฟินคงไม่เสียเปล่าหรอกนะ ทว่า ตอนนั้นเอง...
อึก!
จู่ๆ ก็รู้สึกว่าลมปราณปั่นป่วน เลือดลมหมุนเวียนไม่สะดวก คงเพราะสอนวิชาปราณสวรรค์ให้กับตงฟางอู๋เฟินไปเมื่อครู่ ผลกระทบจากอาการธาตุไฟแทรกจึงแสดงออกมาตอนนี้
ซูอีรีบประสานมือเดินลมปราณเพื่อไม่ให้ตนกระอักเลือดออกมา ทว่าการฝืนบังคับอาการกลับยิ่งทำให้เลือดในร่างเดือดพล่าน
...อาการธาตุไฟแทรกกำเริบแล้ว!
ซูอีรีบหมุนปลายเท้าแล้ววิ่งออกมาจากตรงนั้น
“เจ้าสำนักเจี๋ย?”
ชายหนุ่มเรียกตามหลังด้วยความงุนงง