บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 เลื่อมใส

บทที่ 3

เลื่อมใส

ยังไม่ทันไรข่าวลือว่าตงฟางอู๋เฟินได้รับความโปรดปรานจากเจ้าสำนักก็แพร่กระจายไปทั่ว

ก่อนเข้ามาเป็นศิษย์สำนักดาบจันทร์เสี้ยว ทุกคนล้วนมีเหตุผลเป็นของตัวเอง บางคนถูกทาบทามมาเพราะเห็นว่าหน่วยก้านดี บางคนไร้ที่พึ่ง และก็มีบางส่วนชมชอบซูอีเป็นการส่วนตัว ดังนั้นข่าวลือเสียๆ หายๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ย่อมมาจากกลุ่มคนอย่างหลัง ส่วนหัวโจกที่สร้างเรื่องก็คือ ‘จางเหอ’ คุณชายผู้มาจากตระกูลร่ำรวยตระกูลจาง นายท่านจางต้องการให้บุตรชายมีความสามารถรอบด้าน จึงส่งให้เขามาร่ำเรียนเขียนอ่านและฝึกวิชายุทธ์ที่สำนักดาบจันทร์เสี้ยวเนื่องจากอยู่ไม่ไกลบ้าน

ตั้งแต่เข้าสำนักมา จางเหอก็ถูกตาต้องใจซูอี ทว่าในเรื่อง ‘เล่ห์กลรักจอมมารทมิฬ’ จางเหอผู้นี้ถูกจัดให้เป็นตัวประกอบ บทบาทของเขามีแค่ฉากร่วมรักกับซูอีตอนที่นางมีอาการกำเริบเท่านั้น

หากว่ากันตามเหตุผล ตงฟางอู๋เฟินเป็นพระเอกของเรื่อง ทั้งยังเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายจึงไม่มีเหตุผลที่ซูอีไม่อยากดูแลเป็นพิเศษ

สรุปคือนางเมินเฉยต่อคำนินทาแล้วดูแลตงฟางอู๋เฟินต่อไป

“เจ้าสำนักเจี๋ย ท่านจะสองมาตรฐานแบบนี้ไม่ได้นะขอรับ”

ระหว่างที่ซูอีถือโจ๊กเดินเข้าเรือนรับรองที่ตงฟางอู๋เฟินพักฟื้น เสียงของจางเหอดังประท้วงข้างหลัง นางหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย

“อะไรคือสองมาตรฐาน”

“ท่านดูแลคนผู้นั้นดีเป็นพิเศษ แต่กับศิษย์คนอื่นกลับไม่เคยใส่ใจ”

นางครุ่นคิด จากนั้นก็พยักหน้าเอ่ออออย่างเห็นด้วย “นั่นสินะ”

จางเหอยิ้มอย่างถือชัยได้เปรียบ รีบใช้จังหวะนี้ยุแยงเจ้าสำนักต่อไป

“ในฐานะบุตร เขาเป็นคนอกตัญญูสังหารบุพการี ในฐานะศิษย์ เขาทำเรื่องเลวทราม ขโมยคัมภีร์ลับของสำนักแล้วหนีออกมา รู้อย่างนี้แล้วเจ้าสำนักเจี๋ยยังเข้าไปข้องแวะกับคนเนรคุณอย่างนั้นอยู่อีกหรือ หากเขาหันมาโจมตีสำนักดาบจันทร์เสี้ยวเล่า?”

จางเหอพูดมาก็ไม่ผิด แต่สิ่งที่พูดมาล้วนเป็นข่าวลือที่ตงฟางเหยียนสร้างขึ้น ทางนั้นตั้งใจดักทางไม่ให้ผู้อื่นยื่นมือเข้าช่วยเหลือตงฟางอู๋เฟิน และยังเป็นการยืมดาบฆ่าคนด้วย

“เจ้าพูดมาก็ถูก”

“ใช่ไหมล่ะขอรับ ที่ข้าเตือนเพราะเป็นห่วงแทนเจ้าสำนักเจี๋ยทั้งนั้น”

“ขอบใจนะ จริงสิ เจ้าอยู่ฝึกวิชาที่สำนักมาก็หลายปีแล้ว อันที่จริง ตระกูลจางส่งคนมาตามให้เจ้ากลับบ้านไม่ใช่หรือ ไหนๆ เจ้าก็สำเร็จวิชาขั้นกลาง ควรกลับไปดูแลกิจการที่บ้านได้แล้วนะ”

จางเหออ้าปากพะงาบ คงคิดว่า ‘ไหงเป็นงั้น?’

ทว่า...ถูกแล้วละ ซูอีตั้งใจขับไล่ไสส่งตัวประกอบนี้ออกไปให้พ้นตัวเร็วๆ หนึ่ง เพื่อป้องกันระบบฮาเร็มแบบไม่คาดฝัน สอง ส่วนตัวแล้วนางไม่ชอบเรื่องนินทาว่าร้ายหรือกล่าวเสียดสีกัน ของอย่างนี้อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก สักวันอาจเป็นชนวนไปสู่ปัญหาใหญ่ก็เป็นได้

“ทะ ท่าน...ท่านขับไล่ข้าหรือ”

ใช่!

นางอยากตอบอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงแล้วทำไม่ได้ ดังนั้นซูอีจึงส่ายหน้าตอบอย่างไขสือ “เปล่า ข้าแค่คิดว่าถึงเวลาสมควรที่เจ้าต้องกลับไปแสดงความกตัญญูต่อบิดามารดา รับช่วงต่อดูแลกิจการแล้วต่างหาก” ไม่เพียงพูด นางยังเดินเข้าไปตบบ่าของจางเหอเพื่อให้กำลังใจ “ตอนนี้เจ้าเก่งพอตัวแล้ว ไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าหรอก ข้ารับประกันได้”

จางเหอหน้าดำหน้าแดง โกรธจนลิ้นจุกอก

ด้วยกลัวว่าจางเหอจะโมโหจนตายจริงๆ ซูอีสั่งให้เขาสูดหายใจลึกๆ ช้าๆ ก่อนจะหมุนปลายเท้าเดินไปทางเรือนรับรอง

แน่นอน หลังจากจางเหอเก็บของกลับตระกูลจาง มีข่าวลือว่าเจ้าสำนักดาบจันทร์เสี้ยวเป็นคนลำเอียงแพร่สะพัดออกไปหนักกว่าเดิม แต่นางคร้านจะสนใจเพราะนั่นเป็นเรื่องในอนาคต

พอเข้ามาในห้องพักของตงฟางอู๋เฟิน สายตาที่ชายหนุ่มมองมาที่นางเต็มไปด้วยความเลื่อมใส แต่ซูอีไม่รู้ว่าคำพูดของนางกับจางเหอก่อนหน้านี้ ตงฟางอู๋เฟินได้ยินทั้งหมดแล้ว

“เจ้าสำนักเจี๋ย ท่านไม่ต้องลำบากนำโจ๊กมาให้ข้าทุกวันแล้วก็ได้”

ชายหนุ่มหลุบตาพูด

“ได้อย่างไรกัน เจ้าเป็นผู้สืบทอดสำนักกระบี่หยก จะมาตายในสำนักข้าไม่ได้” สำคัญกว่านั้น หากนางไม่ดีกับเขา แล้วใครจะนำ ‘พิษล้างกระดูก’ จากเจ้านครแห่งความมืดมาให้นางกันเล่า!

อย่างหลังซูอีไม่ได้พูดออกไปเพราะยังไม่ถึงเวลา

“แต่ว่า...ข่าวลือนั่น”

“ข้าไม่เชื่อข่าวลือนั่นซะอย่าง เจ้าจะสนใจไปทำไม”

“ท่านดีกับข้าเหลือเกิน”

“อาเฟิน ถึงข้าจะดีกับเจ้า แต่จำไว้โลกนี้คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เจ้าอย่าได้ไว้ใจผู้อื่นแล้วเทใจให้หมดหน้าตักเสียล่ะ อ้อ ที่ข้าพูดไม่ใช่ว่าข้าจะหลอกใช้เจ้าหรืออะไรหรอกนะ ก็แค่ยกตัวอย่าง”

“ข้าทราบแล้ว”

เขาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เหมือนน้องหมาไม่มีผิด ทว่าบทบาทของซูอียังไม่จบ นางแสร้งทำหน้าเห็นใจ ก่อนจะกล่าวเข้าเนื้อหาหลักอย่างไหลลื่น

“อาเฟิน เกอจิ้นบอกข้าแล้วว่าเจ้าสูญเสียวรยุทธ์ของสำนักกระบี่หยก ไม่รู้ว่าจะฟื้นฟูได้อีกหรือไม่ คราวนี้เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ”

ด้วยความเนียนไปกับบท ชายหนุ่มไม่ได้เอะใจกับคำถามหยั่งเชิงนั้นเลยสักนิด เขาก้มหน้าซ่อนแววตาเศร้าสร้อย ตอนที่ช้อนดวงตาขึ้น ชายหนุ่มก็ประกาศกร้าวว่า “ข้าจะต้องแก้แค้นตงฟางเหยียน เจ้าสำนักเจี๋ย ข้าขอฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน!”

วันแรกที่ตงฟางอู๋เฟินรักษาตัวในสำนัก เขาได้เล่าทุกอย่างที่เผชิญให้ซูอีฟังทั้งน้ำตา อันที่จริง แม้อีกฝ่ายจะไม่เล่าอะไรเลยนางก็รู้เรื่องราวทั้งหมดอยู่แล้ว เพราะคนเขียนเรื่องนี้ก็คือนางเอง ถึงอย่างนั้นซูอีก็ยังตั้งอกตั้งใจฟัง หากแสร้งร่ำไห้ประหนึ่งใจจะขาดใจได้ก็คงทำไปแล้ว แต่แบบนั้นจะดูน่าสงสัยเกินไปหน่อย

ตามเนื้อเรื่อง หลังจากตงฟางอู๋เฟินหนีออกมา ตงฟางเหยียนก็ขึ้นเป็นเจ้าสำนักกระบี่หยก ใช้เวลาเป็นเดือนค้นหาคัมภีร์และซุ่มฝึกฝนวิชานั้น วิชาลับนี้มีชื่อว่า ‘กระบี่เซียนสลายวิญญาณ’ จุดเด่นคือต่อให้ผู้ใช้วิชายุทธ์นี้ถืออาวุธไร้ความคม แต่หากฟันเข้าตรงจุดอันตรายเพียงสามจุด เป้าหมายก็หนีจากความตายไม่พ้น

ตงฟางเหยียนฝึกฝนวิชาจนสำเร็จสามในหกส่วน ถึงอย่างนั้น ในฉากสุดท้ายตอนที่อาหลานต่อสู้แลกชีวิตก็ทำให้พระเอกของเรื่องเกือบตายอยู่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้ตงฟางอู๋เฟินรอดชีวิตมาได้ไม่ใช่เพราะเขาเข้าสู่วิถีมาร หากเป็นสกิลของพระเอกต่างหาก

อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มโอกาสชนะแบบขาดลอย ซูอีตั้งใจว่าจะตะล่อมให้ตงฟางอู๋เฟินฝึกวิชาลับบ้าง

“เรื่องแก้แค้นกับฝากตัวเข้าสำนักของข้า ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งคิด รักษาตัวเองให้หายดีก่อน หลังจากนี้หากเจ้ายืนยันจะอยู่ที่นี่ต่อข้าจะเป็นคนสนับสนุนเจ้าเอง”

อันที่จริง ซูอีอยากบอกเรื่องวิชาลับเดี๋ยวนี้เลย แต่เรื่อสำคัญขนาดนั้นพูดออกไปง่ายๆ รังแต่จะทำให้น่าสงสัย นางจึงตัดบทด้วยการเปลี่ยนเรื่อง

ตงฟางอู๋เฟินมิได้ว่ากระไร เพียงพยักหน้าเชื่อฟังนางทุกอย่าง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel