บทที่ 2 พระเอกมาแล้ว!
บทที่ 2
พระเอกมาแล้ว!
ซูอีตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นตัวร้ายแสนดี ดังนั้นจึงตั้งกฎขึ้นมาสองข้อ อย่างแรกคือจะไม่จับผู้ชาย ‘กิน’ ในตอนที่อาการธาตุไฟเข้าแทรก และกฎข้อสอง เรื่องนี้สำคัญมากๆ คือจะต้องทำดีกับพระเอกให้มากๆ อย่างเช่นช่วยสนับสนุน และไม่สร้างความแค้นกับเขาเด็ดขาด
ระหว่างคิด ในใจของซูอียกมือขึ้นมาสาบานไปด้วย...
หากถามว่าจะทนทรมานกับความต้องการทางเพศยามที่อาการธาตุไฟแทรกได้หรือไม่ พูดอย่างหน้าไม่อาย ซูอีชาติก่อนเกิดมาจนอายุเข้าสี่สิบย่อมรู้วิธีปรนเปรอร่างกายตัวเอง ใช้นิ้ว ใช้ผ้า ใช้น้ำจากสายยาง...เอ่อ อย่างหลังในโลกนี้ไม่มีสินะ ช่างเถอะ ที่แน่ๆ นางไม่คิดจะแตะต้องแท่งหยกโอฬารชิ้นนั้นอย่างแน่นอน
อีกอย่างหนึ่ง โชคดีที่ตนเป็นคนเขียนนิยายเรื่องนี้ จึงรู้ว่ามีพิษชนิดหนึ่งที่ขับสารพัดพิษ รวมไปถึงรักษาอาการธาตุไฟแทรกได้ ของสิ่งนั้นมีชื่อว่า ‘พิษล้างกระดูก’ อยู่ที่ตระกูลอี้ เจ้านครความมืดแห่งพรรคมารเป็นผู้คิดค้น
ดังนั้น หากชี้นำตงฟางอู๋เฟินในทางที่ถูกที่ควร ด้วยนิสัย ‘มีคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ’ ชายหนุ่มจะต้องตอบแทนนางด้วยการนำพิษล้างกระดูกมาให้นาง มากไปกว่านั้น นครแห่งความมืดคือสถานที่ที่นางเอกของเรื่องอาศัยอยู่
หญิงสาวคิดพลางอมยิ้มมุมปาก อย่างน้อยๆ นางก็พอมีหนทางรอดแล้ว
ข้างนอกดวงอาทิตย์ส่องแสงเริงแรง กลางลานด้านหน้าคือพื้นที่โล่ง ตรงกลางมีบัลลังก์หิน ศิษย์สำนักบางคนจะใช้พื้นที่โล่งอันกว้างขวางจับกลุ่มฝึกวิชา
ซูอีนั่งเท้าคางบนบัลลังก์หิน มองเหล่าศิษย์สำนักปล่อยหมัด สะบัดดาบ วาดลวดลายฝึกวิชาอย่างแข็งขัน ตอนนั้นเองร่างสะบักสะบอมเจียนตายของตงฟางอู๋เฟินเดินขึ้นบันไดหินทอดยาวมาทีละก้าว
ซูอีมองเจ้าของร่างอันน่าสังเวชนั้น ก่อนทำทีเป็นลุกพรวดพร้อมแสร้งตีหน้าตกอกตกใจ นางถลาไปทางบันไดหิน กางแขนโอบรับตงฟางอู๋เฟินด้วยความสงสารจับหัวใจ
“ตายแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ตงฟางอู๋เฟิน!”
เจี๋ยซูอีในเรื่องนี้อายุเพียงยี่สิบห้า มากกว่าตงฟางอู๋เฟินเพียงสองปี แต่เพราะได้รับตำแหน่งเจ้าสำนักตั้งแต่อายุยังน้อย บุคลิกของนางจึงค่อนข้างแก่เกินวัย
ตอนพูดกับชายหนุ่มจึงมีมาดของความเป็นผู้ใหญ่ เมื่อเทียบกับวิญญาณของซูอีที่อยู่ในร่างนี้ซึ่งอายุสี่สิบ ทั้งคำพูดทั้งบุคลิกของนางนับว่าไม่ได้ต่างกันมากนัก จึงไม่เป็นการฝืนแสดงแต่อย่างใด
“ช่วยด้วย...”
น้ำเสียงของตงฟางอู๋เฟินแหบแห้งเหมือนขาดน้ำมาหลายวัน สภาพก็ดูไม่จืด ตอนเขียนนิยายเรื่องนี้ซูอีแค่คิดสนุก ที่ได้ทรมานพระเอกตอนต้นเรื่อง หลังจากนั้นค่อยเข้าสู่หนทางแก้แค้นอย่างสะใจ ทว่าพอมาเห็นสภาพปางตายของชายหนุ่มจริงๆ ก็อดสะท้อนใจไม่ได้
ถูกอาแท้ๆ ฆ่าพ่อแม่ ถูกคนไว้ใจหลอกใช้ ก็สมควรอยู่หรอกที่ตงฟางอู๋เฟินจะตามล้างตามล่าเหล่าตัวร้ายและเอาคืนอย่างแสนสาหัส
“ช่วย...ข้าด้วย”
ตงฟางอู๋เฟินย้ำอีกครั้ง ในขณะร้องขอ เขายื่นมือที่มีเลือดแห้งกรังแล้วออกมาดึงชายแขนเสื้อสีแดงของซูอีราวกับยึดขอนไม้ที่ลอยอยู่กลางทะเล
“เข้าใจแล้ว เจ้าลุกขึ้นก่อน มีอะไรค่อยว่ากัน” ซูอีบอกพลางประคองไหล่ทั้งสองข้างของชายหนุ่มให้ลุกขึ้นจากพื้น
ตงฟางอู๋เฟินใช้แรงทั้งหมดที่มียันตัวเองลุกยืน
“ไหน ลองว่ามา เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า อาเฟิน...”
อาจเพราะด้วยความสงสารจับใจ ประกอบกับวิญญาณในร่างนี้อายุมากกว่าหลายปี ซูอีจึงเผลอเรียกตงฟางอู๋เฟินอย่างนั้น
ชายหนุ่มทำหน้างุนงง เลิ่กลั่ก คงไม่คาดคิดว่าเจ้าสำนักสูงส่งอย่างเจี๋ยซูอีจะเรียกตนอย่างเป็นกันเอง
ซูอีได้สติ ฉีกยิ้มด้วยรอยยิ้มของผู้ใหญ่ใจกว้าง
“ในสายตาข้า เจ้าไม่ต่างจากศิษย์หลาน นับจากนี้ข้าขอเรียกเจ้าว่า ‘อาเฟิน’ ได้หรือไม่”
ชายหนุ่มพยักหน้า น้ำตาขังคลอ
“ได้ขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะพาเจ้าไปรักษาบาดเจ็บ ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยเล่าให้ข้าฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”
หลังจากพูดอย่างนั้นซูอีก็สั่งให้ศิษย์ที่อยู่ใกล้ๆ พาตงฟางอู๋เฟินไปเรือนพัก ตามหมอมาดูอาการและยังกำชับให้ดูแลเขาดีๆ
ชายหนุ่มก้มหน้าลงต่ำ ภายใต้สีหน้าที่ซูอีมองไม่เห็น แววตาสีดำของตงฟางอู๋เฟินนอกจากส่องประกายซาบซึ้ง ยังลึกล้ำอย่างน่าประหลาด
“คิดดีแล้วหรือที่ยื่นมือช่วยเหลือตงฟางอู๋เฟิน ถึงเจ้าจะเป็นเจ้าสำนักมีสิทธิ์ตัดสินใจทุกอย่าง แต่มองภาพรวม สำนักกระบี่หยกภายในวุ่นวาย เจ้าไม่กลัวว่าสำนักของเราจะถูกดึงเข้าไปผัวพันหรอกหรือ”
คำพูดยาวเหยียดนี้เป็นของ ‘เกอจิ้น’
หลังจากซูอีส่งตัวตงฟางอู๋เฟินให้กับศิษย์สำนักรับช่วงไปดูแลต่อ เกอจิ้นก็เดินมาหยุดอยู่ข้างหลัง จากนั้นก็บ่นนางทันที
เกอจิ้นคนนี้เข้าสำนักมาพร้อมกับซูอี ตอนที่เจ้าสำนักยังอยู่ ทั้งสองฝึกวิชาด้วยกัน นับว่าเป็นสหายสนิท ปัจจุบันเกอจิ้นทำหน้าที่เป็นมือขวาของซูอี ไม่แปลกที่เขาจะกังวลว่าหากช่วยเหลือตงฟางอู๋เฟินแล้ว สำนักดาบจันทร์เสี้ยวจะพาลถูกยุทธภพหมายหัวไปด้วย
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น การหนีออกมาของตงฟางอู๋เฟินทำให้ตงฟางเหยียนใส่ร้ายว่าเขาทรยศต่อสำนัก ทั้งยังขโมยวิชาลับออกมาด้วย ดังนั้นการช่วยเหลือตงฟางอู๋เฟินก็เหมือนกับตีตัวเป็นศัตรูกับสำนักกระบี่หยก
นางหมุนตัวหันหลังแล้วมองเกอจิ้น ชายคนนี้มีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อระดับมาตรฐาน แต่งตัวสะอาดสะอ้าน และเคร่งครัดกับกฎของสำนัก
ซูอีกับเกอจิ้นคบหาเป็นสหายด้วยความสนิทใจ แต่มีอยู่หนหนึ่งที่ซูอีเกิดอาการธาตุไฟแทรกกำเริบ นางจับเขาขึ้นคร่อม จากนั้นเกอจิ้นก็กลายเป็นหนึ่งในฮาเร็ม
พอคิดถึงบทบาทในเรื่องก็อดจะละอายใจไม่ได้ นางเสมองทางอื่นก่อนบอก “คนหนีร้อนมาพึ่งเย็น ข้าต้องช่วยเหลืออยู่แล้ว”
‘ลองขับไล่เขาไปสิ คนที่ต้องตายอย่างทรมานภายหลังคือข้านี่แหละ!’
“เฮ้อ...” เกอจิ้นถอนหายใจยาว “ถ้าเจ้าตั้งใจอย่างนั้นก็ตามใจ เช่นนั้นข้าจะส่งคนไปสืบเรื่องภายในสำนักกระบี่หยก”
“ระวังตัวด้วย”
“เข้าใจแล้ว” เกอจิ้นตอบเนิบๆ แล้วเดินออกจากลานกว้างทันที
ซูอีถอนหายใจโล่ง ดีที่ไม่ถูกเกอจิ้นจับพิรุธได้ว่านางไม่ใช่เจี๋ยซูอีตัวจริง เกอจิ้นนั้นฉลาดหลักแหลม หากเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร เช่นนั้นนางก็จะแสร้งเป็น ‘เจ้าสำนักเจี๋ยซูอี’ ต่อไป
