๕ เปลี่ยนตัว (๒)
การแต่งงานใกล้เข้ามาทุกที โชคดีที่ออแกไนซ์คอยจัดการเรื่องสถานที่ ส่วนเรื่องชุดจะเป็นหน้าที่ของวิกานดา ทว่าเธอไม่ค่อยว่างเท่าไหร่ ผัดวันประกันพรุ่งกับเขาบ่อยครั้งจนตะวันฉายต้องไปรับถึงบ้านเพื่อจะไปดูชุดด้วยกัน คราวแรกเธอยังอิดออดไม่อยากไป จนมารดาต้องส่งสายตาเป็นการบังคับ จึงได้ยอมมาให้ว่าที่เจ้าบ่าวของตน
ความจริงหล่อนจะสั่งตัดชุดก็ได้เพราะเพื่อนที่อยู่ในแวดวงเดียวกันก็สั่งให้ดีไซน์เนอร์ชื่อดังช่วยออกแบบเพื่อจะได้เก็บเป็นที่ระลึก แต่วิกานดากลับบอกว่าขอเช่าชุดเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ดีกว่า จึงไม่มีใครขัดหล่อน
มาถึงร้านก็พากันเดินขึ้นชั้นสองเพื่อเลือกชุด ชายหนุ่มค่อนข้างกระตือรือร้นพอสมควร เลือกชุดให้เธอตามความเห็นของตนเอง ขณะที่สาวเจ้านั่งเหม่อมองรอบห้องด้วยแววตาว่างเปล่า น่าแปลกที่หมดความรักในตัวของเขาจนสิ้น
อาจเพราะเจอคนที่ถูกใจและช่างเอาใจมากกว่า...
“วิมีอะไรหรือเปล่า เห็นเหม่อมาสักพักแล้ว” แตะที่ไหล่บางหลังจากเรียกหลายครั้งแล้วเธอไม่ยอมหันมาตอบรับสักที หล่อนสะดุ้งแล้วเลือกจะส่ายหน้า ยิ้มให้เขาเล็กน้อยน้อยพลางถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วน นึกเบื่อหน่ายกับสถานการณ์กลืนเข้าคายไม่ออก
หากเป็นเมื่อก่อนคงดีใจกว่านี้ที่ได้แต่งงานกับหนุ่มหล่อพ่อรวยอย่างตะวันฉาย แต่บัดนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
เธอไม่ได้อยากแต่งงานกับเขาเพราะมีชายอื่นในดวงใจ
“เปล่าค่ะ...วิแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แล้วคุณเลือกชุดเสร็จแล้วเหรอคะ”
“ครับ ผมชอบชุดนี้แหละเข้ากับชุดเจ้าสาวที่คุณเลือก ว่าแต่แน่ใจนะเรื่องที่ไม่สั่งตัดน่ะ งานแต่งครั้งเดียวในชีวิตต้องทุ่มทุนหน่อยนะครับ” ร่างสูงเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาอยู่ในชุดไปรเวทหลังจากลองชุดพิธีหมั้นและฉลองมงคลสมรสเรียบร้อย
ปล่อยหล่อนนั่งรอคนเดียวเสียนานจึงเดินเข้ามาหาแล้วกุมมือบางเอาไว้ แต่เธอกลับค่อยปลดมือของตัวเองออกอย่างเชื่องช้า ค่อยยิ้มให้เขาราวคนอ่อนแรง แล้วส่ายหน้ากับคำถามของอีกฝ่าย
“แค่นี้แหละค่ะ วิไม่อยากสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ” ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรทั้งนั้น
รู้สึกเหมือนตัวเองถูกจับเข้ากรงขังอย่างไรก็ไม่รู้ หล่อนน่าจะเจอชายผู้นั้นให้เร็วกว่านี้อีกสักหน่อย เราคงได้สมหวังกันไม่ใช่ได้รักแต่ไม่อาจครอบครองอย่างเช่นทุกวันนี้ โดยเฉพาะเธอที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับชายอื่น
ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วยนะ...
“ฉายคะ ทำไมคุณถึงยอมแต่งงานกับวิ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เหมือนคุณจะไม่ได้ชอบวิแบบชู้สาว ให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนมากกว่า” เดินออกจากร้านพรีเวดดิ้งก็ขึ้นมาบนรถยนต์คันหรูก็ใช้โอกาสนี้ถามถึงความรู้สึกของเขา
เธอเป็นฝ่ายตามมาหลายปี จนถอดใจแล้วคิดว่าเราคงเป็นได้แค่เพื่อนกัน บัดนี้กลับเป็นเขาที่ตามหล่อนบ้าง แต่มันคงช้าเกินไปเมื่อใจของวิกานดาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เธอไม่ได้รักเขามากไปกว่าเพื่อนคนหนึ่ง
“อยู่ดีๆ ทำไมถึงถามล่ะ ผมเนี่ยนะไม่ได้ชอบวิ...ผมชอบวิมากนะครับเพียงแค่แสดงออกไม่เก่งเท่านั้นเอง มีใครทำให้วิคิดมากหรือเปล่า บอกผมได้นะครับเดี๋ยวผมจะจัดการ...” ชายหนุ่มเคลื่อนรถออกจากลานจอดอย่างเชื่องช้า แล้วหันไปตอบว่าที่เจ้าสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แถมยังขันอาสาจะจัดการคนที่ทำให้เธอไขว้เขว่อีกต่างหาก
ไม่รู้เลยว่าเป็นคนใกล้ตัวขนาดไหน...
“ไม่มีค่ะ บอกแล้วไงคะว่าวิแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไปส่งวิที่บ้านแล้วกันนะคะวิมีธุระต้องทำต่อ” ตัดบทอย่างรวดเร็วพร้อมยืนกรานจะขอกลับบ้าน แต่ตะวันฉายยังรู้สึกว่าใช้เวลากับว่าที่ภรรยาไม่เพียงพอ จึงเลือกจะขอไปต่อที่อื่น
“รีบกลับไปไหน ผมยังอยากไปดูหนังแล้วก็กินข้าวกับวิอยู่เลย ผมเลือกรอบแล้วก็จองร้านอาหารเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เราไปกันเถอะครับ ธุระที่บ้านเอาไว้วันอื่นก็ได้หรือจะให้ผมโทรไปขอคุณอา...” ข้อเสนอของเขาทำให้หญิงสาวต้องรีบส่ายหน้า แล้วตอบตกลงเพื่อไปเดทแสนหวานโดยมีฝ่ายชายผู้เดียวที่ยิ้มกว้างมีความสุข
“ไม่ค่ะ ไม่ต้อง...วิไปกับคุณก็ได้”
เพราะสำหรับเธอแล้วนั่งทำหน้าอมทุกข์ไปตลอดเส้นทาง
“ดีครับ”
เขาตอบรับเมื่อได้ยินเช่นนั้น เปิดเพลงฟังอย่างมีความสุขขณะขับไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดัง อย่างแรกคือต้องรับประทานอาหารเพราะถึงมื้อเที่ยงแล้วหล่อนน่าจะหิวพอสมควร เดินเลือกร้านอาหารไทยเจ้าดังได้ก็เข้าไปจับจองที่นั่งทันที ไม่ได้มองว่าคนเดินตามกำลังพิมพ์โทรศัพท์อย่างขะมักเขม้น
“อ้าวภัทร มาทำอะไรที่นี่เหรอ” ระหว่างที่เลือกโต๊ะนั่งกลับพบน้องชายต่างสายเลือดที่เดินเข้ามาพอดี เขานึกแปลกใจจึงได้ทักทาย
“กินข้าวครับ สวัสดีครับคุณวิ” ค้อมศีรษะแล้วยิ้มให้ว่าที่พี่สะใภ้ เธอเองก็ยิ้มตอบเขาเช่นเดียวกัน ทั้งยังมีท่าทีเขินอายอีกต่างหาก
“ค่ะ”
เขาไม่ได้สังเกตแต่เลือกจะหันซ้ายขวาเพื่อมองหาโต๊ะที่เหลือน้อย จึงใช้โอกาสนี้ชวนสิรภัทรไปรับประทานอาหารร่วมกัน แล้วก็เข้าทางคนที่เพิ่งเข้ามาทัก รีบพยักหน้าแล้วตอบอย่างไว้เชิงคล้ายไม่เกรงใจแต่ก็รีบเดินประกบคนทั้งสองไม่ห่าง
“มีโต๊ะหรือยัง ไปนั่งด้วยกันไหมล่ะ ฉันกับวิจะไปกินข้าวพอดีเลย”
“รบกวนด้วยนะครับ”
เลือกโต๊ะเรียบร้อยว่าที่บ่าวสาวก็นั่งลงข้างกัน ขณะที่สิรภัทรเลือกนั่งฝั่งตรงข้ามกับร่างบาง ส่งสายตาให้เธอโดยที่ตะวันฉายกำลังหันไปสั่งเมนูอาหารกับพนักงานที่เดินมาต้อนรับลูกค้าใหม่ เขาเลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างลื่นไหล แล้วค่อยหันมาถามความเห็นจากคนที่เหลือ
“ผมเอาแกงส้มชะอมไข่ ยำสามกรอบ อืม กะเพรารวมมิตร ใครจะสั่งอะไรอีกไหม”
“แกงเขียวหวานไก่ครับ...คุณวิน่าจะชอบ” เจ้าตัวมองคนฝั่งตรงข้ามแล้วส่งสายตาสื่อความนัยที่พอทราบกันสองคน ทำให้ตะวันฉายที่ถูกกันเป็นคนนอกต้องแทรกขึ้น
“นายรู้ได้ไงว่าวิชอบ”
“ผมก็แค่เดาน่ะครับ หรือไม่อาจจะมีเซ้นส์ก็ได้นะ” ยักไหล่แล้วตอบไปตามเรื่อง ท่านรองฯ ไม่ได้คาดคั้นอะไรอีก คืนเมนูให้พนักงานทันที
“เอาแค่นี้ล่ะครับ” พวกเขานั่งรออาหารที่อีกสักพักถึงจะทยอยมาเสิร์ฟ ระหว่างนี้หัวหน้าแผนกจัดซื้อก็สบโอกาสถามถึงงานแต่งที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ดวงตาจ้องมองคนที่ตัวเองแสนจะเกลียดแต่ก็พยายามปิดบังความรู้สึกเอาไว้
มันก็แค่เกิดมาบนกองเงินกองทองถึงได้ดีเท่านั้นแหละ!
“เตรียมงานไปถึงไหนแล้วล่ะครับ วันงานใกล้เข้ามาทุกทีแล้วบ่าวสาวคงจะมีความสุขมากเลยนะครับ เห็นหน้าตาพี่ฉายผ่องใสเชียว”
“แน่นอนอยู่แล้ว ได้แต่งงานกับคนที่แสนดีเพียบพร้อมใครบ้างจะไม่ดีใจ ใช่ไหมวิ” เขาโอบไหล่บางแล้วหันมาขอความเห็นเธอบ้าง หญิงสาวรีบขืนตัวแล้วตอบเสียงเบา เหลือบมองคนตรงหน้ากลัวว่าจะทำให้เขาเข้าใจผิด
“ค่ะ”
“ระวังนะครับ...ถึงงานจริงอาจจะไม่ดีใจก็ได้” สิรภัทรมองแล้วก็นึกโกรธเคือง ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้มากนัก
“หมายความว่ายังไง”
