บทย่อ
"วรรณวิสา" แอบรัก "สิรภัทร" มาโดยตลอด จนกระทั่ง "ตะวันฉาย" กลับมาถึงประเทศไทย เขาเข้าหาเธอแล้วถือสิทธิ์ในตัวของหญิงสาวจนใจดวงน้อยเอนเอียง ก่อนหนีไปแต่งงานกับ "วิกานดา" คนที่เหมาะสมกับตนทุกประการ ทว่างานแต่งก็ล่มลงเขาจึงกลับมาหาหล่อนอีกครั้ง แล้วพบรักครั้งใหม่กับ "อรอินท์" ตำรวจสาวผู้มากความสามารถ ทิ้งเธอเอาไว้กับความเศร้าเพียงลำพัง พร้อมจากชายหนุ่มไปในกองเพลิง...
บทนำ 1
บทนำ
เสียงร้องโวยวายดังขึ้นยังศาลาริมน้ำ พร้อมกับคนที่กรูเข้าไปให้ความช่วยเหลือเด็กหญิงตัวเล็กซึ่งนอนหมดสติด้วยลำตัวที่เปียกโชก ใบหน้ากลมไร้สีเลือดจนเด็กชายวัยใกล้เคียงกันถึงกับหน้าถอดสี หันรีหันขว้างแล้วพยายามปลุกเธอให้ตื่น
ค่อยขยับเข้ามานั่งข้างมารดาซึ่งกำลังมองคนสวนปฐมพยาบาลเบื้องต้น ไม่นานนักคนที่นอนแน่นิ่งก็สำลักน้ำ ทำเอาคนที่ยืนลุ้นพลอยยิ้มด้วยความยินดี พรูลมหายใจโล่งอกกันเป็นแถบโดยเฉพาะชายหนุ่มซึ่งยิ้มกว้างกว่าใครเพื่อน รีบชี้ไปยังน้องน้อยแล้วตะโกนบอกคนที่ตัวเองเกาะแขนเอาไว้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจจนคนที่อยู่ในเหตุการณ์นึกเอ็นดู
“ฟื้นแล้ว! น้องฟื้นแล้วครับ” คนเป็นแม่พยักหน้ายิ้มให้ลูกชาย
จากนั้นจึงหันมามองเด็กหญิงที่ลืมตามองเพดานไม้ที่ค่อนข้างเก่า รู้ทันทีว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เหตุการณ์เมื่อครู่ค่อยไหลเข้าหัวจนจดจำได้หมดทุกอย่าง
แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยคำใดออกมา ก็ถูกคว้าเข้าไปกอดทันทีจากคนเป็นป้า เด็กหญิงทำได้เพียงกระพริบตาปริบพูดอะไรไม่ออก ฟังคำถามที่เอ่ยรัวราวกระสุนแล้วก็ยังสับสนมึนงง อยากพูดอะไรสักคำก็ไม่อาจพูดได้เพราะใบหน้าแนบกับอกของอีกฝ่าย
เธอรับรู้เพียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเองราวจะหลุดออกมานอกอก อาการทรมานทุรนทุรายอยู่ใต้น้ำ คิดว่าจะไม่รอดแล้วเสียอีก...
กำลังจะได้ไปเจอพ่อแม่แล้วเชียว...
“เป็นยังไงบ้างลูก หนูพันบอกน้าหน่อยสิ เจ็บตรงไหนปวดหัวหรือเปล่าคะ...ใครผลักหนูตกน้ำลูก โธ่ๆ แม่คุณของน้า” ผละออกจากเด็กหญิงแล้วลูบตามใบหน้ากลมที่กระพริบตาปริบ จากนั้นจึงค่อยส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า
ยังคงหวาดกลัวกับเรื่องเมื่อครู่ไม่หายจนไม่ทันฟังประโยคสุดท้ายของท่าน เด็กหญิงทราบเพียงว่าใต้น้ำทั้งมืดและหนาว น่ากลัวเกินไปจนต้องขยับเข้าไปใกล้คนอายุมากกว่า กอดท่านเอาไว้แล้วเริ่มเบะปากเล็กน้อยพร้อมน้ำตาเม็ดใหญ่ที่เอ่อคลอเบ้า
“หนูไม่...ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วลูก” เงยหน้ามองท่าน แล้วค่อยเบนสายตาไปหาพี่ชายที่ส่งยิ้มมาให้ตน ไม่รู้เพราะเหตุใดเธอจึงถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หรือเพราะในความทรงจำก่อนหมดสติเห็นชายคนหนึ่งว่ายน้ำเข้ามาใกล้ แล้วคว้าตัวของตนให้ลอยขึ้นก่อนที่จะจมลงลึกกว่านี้
หรือคนคนนั้น...จะเป็นพี่ชายตรงหน้า
“พี่ภัทรช่วยหนูเหรอคะ” คนในที่นั้นเหลียวมองกันทันทีแต่ไม่มีใครเอ่ยอะไรมองมา กระทั่งเด็กชายที่ถูกถามก็เงียบกริบ ลอบกลืนน้ำลายลงคอไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร มีเพียงความสับสนที่แสดงออกทางแววตาแล้วค่อยผินหน้าหันมองมารดาของตัวเองคล้ายกำลังไตร่ตรองว่าควรตอบอย่างไร
“เอ่อ...”
เสียงเงียบโอบล้อมเพียงไม่นาน หนูน้อยก็ถูกดึงเข้าไปกอดอีกครั้งพร้อมคำพูดของคุณป้าที่ตอบแทนบุตรชายของตนเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะรีบฉุดเด็กหญิงให้ลุกขึ้นเพราะเนื้อตัวเย็นเฉียบ อีกทั้งยังตัวสั่นมีอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
แน่ล่ะ...เด็กอายุแค่สิบขวบที่เพิ่งผ่านความตายมาอย่างฉิวเฉียด ไม่ร้องไห้ก็ถือว่าเก่งแค่ไหนแล้ว
“ใช่จ้ะ! พี่ภัทรเป็นคนช่วยหนูขึ้นมาจากน้ำ ดูสิหน้าซีดตัวเย็นหมดแล้ว ขึ้นไปพักบนห้องก่อนนะลูกอย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลยเดี๋ยวจะปวดหัว อิ่ม! พาหนูพันไปพักผ่อนสิ” รีบจูงแขนหนูน้อยอย่างรวดเร็วแล้วหันไปบอกแม่บ้านซึ่งนั่งพับเพียบรอรับคำสั่ง พอได้ยินเช่นนั้นก็รีบกระวีกระวาดลุกอย่างรวดเร็ว เข้ามาจูงมือเล็กของเด็กหญิงเอาไว้
“ค่ะคุณทัศ...คุณผู้หญิง” รับคำด้วยความเคยชิน แต่พอเห็นแววตาขึงโกรธกับคำเรียกที่ได้ยินก็รีบเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
เพราะหล่อนไม่ใช่ทัศนียาคนเดิมที่เป็นแค่คนคอยตามเก็บลูกกอล์ฟในสนาม แต่บัดนี้ได้นั่งตำแหน่งภรรยาของนักธุรกิจระดับหมื่นล้าน!
ห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กกลายเป็นที่ขังเด็กชายแสนเกเรเอาไว้เกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม ดวงตาวาวโรจน์พร้อมใบหน้าที่แดงก่ำจ้องมองยังคนที่เปิดประตูเข้ามาอย่างนึกโมโห มือกำกางเกงเอาไว้แน่นแล้วเหลือบไปมองผู้หญิงที่ตามเข้ามา แค่เห็นหน้าก็อยากพุ่งเข้าไปทุบตีแต่ที่ทำได้คือยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ความสุขและรอยยิ้มของเขาหายไปตั้งแต่วันที่มารดาจากไปแสนไกล ทำได้เพียงมองปล่องควันเพื่อเป็นการอำลาท่าน ร้องไห้จนแทบหมดเสียงโดยมีหัวหน้าแม่บ้านที่เป็นเหมือนแม่อีกคนของเขาเพราะเลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออกคอยปลอบ กระนั้นก็ยังไม่สามารถทำให้ความเศร้าของเด็กชายคลายลงได้
แล้วมันยิ่งเพิ่มมากกว่าเดิมเมื่อไม่กี่วันต่อมาบิดาพาหญิงอื่นเข้ามาในบ้าน แนะนำว่าเป็นแม่ใหม่ของเขาทั้งที่มารดาเพิ่งจากไปได้ไม่นาน คนที่ยึดติดไม่ยอมทำตามความต้องการของพ่อด้วยการเรียกคนอื่นว่าแม่
เริ่มต่อต้านด้วยการเป็นเด็กขวางโลก ทำทุกอย่างที่ตรงข้ามกับคำสั่ง...
“ฉันเหลืออดกับแกแล้วนะตะวันฉาย! ทั้งแกล้งน้อง ไหนคราวนี้จะผลักน้องตกน้ำอีก” เข้ามาตะคอกเด็กชายเสียงดังด้วยความโมโห เจ้าของห้องนั่งลงบนเตียงไม่สะท้านพลางตะโกนกลับไม่ยอมแพ้ในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้กระทำ
“ผมไม่ได้ทำ! เด็กนั่นตกน้ำลงไปเอง ผมไม่เกี่ยวอะไรด้วยสักหน่อย เซ่อซ่าไม่ดูตาม้าตาเรือเกือบตายแล้วไหม...” พูดถึงเด็กหญิงที่นึกไม่ชอบหน้า แต่แปลกที่เขามักพาตัวเองไปวนเวียนใกล้เธอเสมอ บางครั้งก็แกล้งพอให้ได้รับความสนใจ
เพราะดูเหมือนว่าพี่ใหญ่ของบ้านจะไม่เป็นที่ชื่นชอบสักเท่าไหร่
เด็กชายผู้นั้น...ตะวันฉาย ไกรวรวงศ์คนที่เป็นตัวปัญหาในสายตาวรรณวิสา สิริรัตนา หากเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงเขาแต่ดูเหมือนยิ่งไม่อยากเจอเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้พบบ่อยเท่านั้น
เพี๊ยะ!
ใบหน้าเล็กหันไปตามแรงตบ โดยคนเป็นพ่อพลั้งมือลืมนึกว่าลูกชายถึงจะตัวโตกว่าเด็กคนอื่น แต่ก็อายุเพียงแค่สิบสามปีเท่านั้น ยังเล็กมากเหลือเกิน...
“ไอ้เด็กเหลือขอ! เถียงคำไม่ตกฟาก ฉันพูดแกห้ามเถียงให้ฟังอย่างเดียว”
“พ่อนั่นแหละเหลือขอ! ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย พ่อหูเบาเชื่อแต่อีนั่น” ถึงจะเจ็บแค่ไหน น้อยใจมากเท่าไหร่ก็กล้ำกลืนความรู้สึกนั้นเอาไว้ โต้กลับผู้เป็นบิดาอย่างไม่เกรงกลัว เพราะรู้แล้วว่าต่อจากนี้จะไม่มีที่พึ่ง
ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน...
“ไอ้ฉาย! หยุดก้าวร้าวแม่” เพียงแค่ได้ยินประโยคที่บิดาบังคับก็โต้กลับทันควัน
แม้ว่าจะอายุน้อยยังถูกมองว่าเป็นเพียงเด็ก แต่เขาก็มีความคิดเป็นของตัวเอง คำว่าแม่นั้นศักดิ์สิทธิ์มากเพียงใด ไม่สามารถเอามาเรียกพร่ำเพรื่อได้ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่เป็นต้นเหตุให้มารดาต้องเสียใจ
“มันไม่ใช่แม่ผม แม่ผมมีคนเดียวคือแม่ฉันทนา!” ตะโกนเสียงดังไม่ยอมแพ้ เถียงคอเป็นเอ็นจนคนเป็นพ่อโกรธหน้าแดง ภรรยาเห็นเช่นนั้นจึงรีบจับแขนสามีเอาไว้ พยายามแสดงด้านที่ดีของตัวเองออกมาให้เห็นว่าตนใจเย็นมากแค่ไหน ถึงจะถูกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมด่าก็ตาม

