๔ ไร้ค่า (๒)
ผู้ชายคนนั้นไม่น่าจะมีมารยาทถึงขนาดเคาะประตูหรอก คิดได้อย่างนั้นก็คิดจะหมุนลูกบิดแต่กลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังลอดเข้ามา...เป็นเขาจริงด้วย!
“ฉันเอง...ถ้าเธอไม่เปิดฉันจะร้องเสียงดังให้คนทั้งบ้านมามุง...” ครั้นจะไม่เปิดก็กลัวคำขู่ สุดท้ายวรรณวิสาก็จำต้องเปิดห้องให้ชายหนุ่มอยู่ดี ทว่าเธอไม่ยอมให้เขาเข้ามา ยังคงยืนขวางประตูเอาไว้แล้วถามเสียงแข็ง
“มีอะไร”
“นอนด้วย” พูดจบก็แทรกตัวเข้าไปในห้อง แล้วจัดการปิดประตูพร้อมลงกลอนอย่างแน่นหนา เธอจะปฏิเสธก็ไม่ทันเพราะเขาคว้าร่างแบบบางมากอดพร้อมพาหล่อนไปยังเตียงกว้าง ถึงจะขืนตัวเอาไว้สุดท้ายก็ตกอยู่ในอ้อมกอดเขาเหมือนเดิม
“ไม่...คุณฉาย!”
“ง่วงแล้ว มานอนสิ”
แล้วคืนนั้นก็เป็นอีกค่ำคืนที่ต่างนอนกอดกันและกันแล้วหลับไป ตะวันฉายรู้สึกผ่อนคลายยามได้กอดหล่อนเอาไว้ ผล็อยหลับไปในที่สุดขณะที่คนในอ้อมกอดก็เข้าสู่ห้วงนิทราเช่นเดียวกัน
อุณหภูมิในห้องยังคงเย็นสบายทำให้บรรยากาศน่านอน แต่นาฬิกาบ่งบอกเวลาเช้าทำให้คนที่มีหน้าที่ทำอาหารให้ทุกคนในบ้านต้องรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทว่ายังไม่อาจลุกจากเตียงได้เมื่อถูกเขากอดเอาไว้หลวมๆ จึงได้ยกแขนหนักออกจากเอวของตน
คิดว่าชายหนุ่มจะไม่ตื่น กลับถูกคว้าเข้าไปกอดเอาไว้จนเธอต้องถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เมื่อวานเขาหลับเป็นตายแต่วันนี้กลับตื่นเร็ว สงสัยคงต้องเปลี่ยนแผนเป็นไล่ร่างหนาออกจากห้องของตัวเองเสียแล้ว
กลัวว่าถ้าเขาออกไปช้ากว่านี้จะทำให้คนอื่นเห็น แล้วเกิดความเข้าใจผิดในเรื่องของเราทั้งที่มันไม่มีอะไรในกอไผ่ทั้งนั้น
“อื้อ จะรีบลุกไปไหนเพิ่งตีห้าเอง จะไปช่วยไก่ขันปลุกคนทั้งบ้านเหรอ” ตาไม่ยังลืมแต่ก็สามารถแขวะกันได้ นึกทึ่งในความสามารถการจิกกัดของเขาเหลือเกิน เธอไม่ได้ต่อปากต่อคำเพราะเหนื่อยเกินไป จึงเลือกตอบตามความจริงให้เขาเห็นใจแล้วปล่อยกันสักที
“ไปทำกับข้าว”
“ช่างหัวข้าวมันเถอะ ค่อยทำก็ได้ตอนนี้นอนก่อน”
อยากกอดเนื้ออุ่นของหล่อนมากกว่า ต่างจากวรรณวิสาที่นึกกังวลเมื่อเห็นว่าตัวเองสายแล้ว หากมีแม่บ้านขึ้นมาตามแล้วเห็นตะวันฉายเข้าจะทำอย่างไร
“คุณก็ไปนอนต่อที่ห้องตัวเองสิ จะมานอนห้องคนอื่นทำไม ปล่อยได้แล้วเดี๋ยวฉันจะสาย”
ทั้งตีทั้งข่วนเขาแต่ก็ไม่ได้ออกแรงมากนักกลัวแขนหนาจะเป็นรอย นั่นทำให้ตะวันฉายไม่ได้รู้สึกเจ็บสักนิด กลับรู้สึกเหมือนถูกแมวก่อกวนมากกว่า
“อือ อีกหน่อย” ต่อรองเวลาทำให้เธอโมโห เรียกชื่อเขาเสียงเข้มไม่ได้เกรงกลัวร่างหนาอีกต่อไป
“คุณตะวันฉาย”
“ใช่ ชื่อฉันเอง” ตอบรับโดยไม่ยอมลืมตาสักทีจนเธอหงุดหงิด สงสัยคงต้องใช้ไม้แข็งเสียแล้ว และคราวนี้เธอก็ทำจริงไม่ใช่แค่คำขู่อีกต่อไป
“ถ้าไม่ลุกฉันจะหยิกคุณจนเนื้อเขียว ฉันทำจริงนะ...จะลุกหรือไม่ลุก”
“ไม่ โอ๊ย!” เขาสะดุ้งทันทีเมื่อถูกหยิกเข้าที่สีข้าง เจ็บจนน้ำตาแทบเล็ดยอมลุกจากเตียงพลางดิ้นพล่านเหมือนโดนน้ำร้อนลวก หล่อนได้โอกาสจึงรีบดันร่างหนาไปที่ประตูบานใหญ่เพื่อให้กลับห้องฝั่งตรงข้ามสักที
“เธอ! ยัยเปี๊ยกกล้าหยิกฉันเหรอ” มองตาขวางพลางนึกโกรธที่เป็นฝ่ายโดนกระทำ
“ออกไปได้แล้ว”
“ไม่ออก...อยากให้ออกก็จูบก่อนสิ” เขายังคงขืนตัวเอาไว้ไม่ยอมออกจากห้องของหล่อนสักที
แถมยังทำหน้าระรื่นยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้อีก เธอถอนหายใจใส่เขาพลางถามอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่รู้เหตุผลว่าชายหนุ่มทำเช่นนี้ไปทำไม
หรืออยากเอาคืนที่เธอไม่เลือกอยู่ข้างเดียวกับเขา...
“คุณตะวันฉาย ต้องการอะไรจากฉันนักหนา สนุกนักหรือไงที่ได้แกล้งฉัน เห็นฉันไม่มีทางสู้ใช่ไหมถึงได้ทำแบบนี้”
“ใช่...สนุกดี” พยักหน้าแล้วตอบหน้าตาย
เธอเห็นแบบนั้นก็ทั้งทุบและดันให้ร่างหนาออกไปจากห้องนอนของตัวเอง หงุดหงิดมากกว่าเดิมที่เป็นของเล่นให้เขา
“ออกไป บอกให้ออกไป”
“ดันอะไรนักหนาเล่า ฉันล้มขึ้นมาเธอจะทำยังไง รู้แล้วๆ ออกก็ได้...แต่จูบก่อน” จับลูกบิดเอาไว้แล้วหันมามองเธอ
วรรณวิสาจึงยกมือขึ้นพร้อมประทับลงที่หลังกว้างเสียงดัง ย้ำชัดสิ่งที่ต้องการจนสุดท้ายแล้วร่างหนาก็ยอมออกจากห้อง
“ออกไป”
หล่อนปิดประตูใส่หน้าเขาทันที ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วยืนอยู่หน้าห้องของเธอพลางพึมพำเสียงเบากับตัวเอง
“เฮ้อ ดุชะมัด”
โดยไม่ทันมองว่ามีใครคนหนึ่งแอบเห็นทุกอย่างด้วยความบังเอิญ คุณทัศนียาออกจากห้องของตนแล้วยิ้มกริ่มคิดแผนบางอย่างออก
“นั่นมัน...หึหึ ใฝ่ต่ำสินะ”
ผู้หญิงกำพร้าก็เหมาะกับตะวันฉายแล้ว...
ถึงจะเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างแต่นางก็ใจเย็นพอจะไม่บอกสามีในเวลานั้น ผ่านไปสองถึงสามวันก็ยังพบว่าลูกเลี้ยงออกมาจากห้องหลานสาวในยามเช้าเช่นเดิม จากเคยนึกกังวลก็กลายเป็นความปลอดโปร่งที่ตะวันฉายไปคว้าผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาเคียงคู่
ต่างจากบุตรชายของตนที่ต้องได้คนควรคู่ คุณทัศนียายิ้มหัวเราะมีความสุขขณะเดินลงมารับประทานอาหารในเช้าวันหยุด เห็นทุกคนพร้อมหน้ากันอยู่แล้วยกเว้นท่านรองฯ หน้าใหม่ที่ยังไม่ลงมาสักที
แต่เพียงแค่นางนั่งลงที่ประจำของตน คนผู้นั้นก็เดินเข้ามาสมทบในทันทีด้วยชุดเสื้อกล้ามตัวเก่งกับกางเกงขายาว มองดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นชุดนอน ยังโชคดีที่มีใบหน้าหล่อเหลาเป็นอาวุธไม่เช่นนั้นก็คงเหมือนคนเร่ร่อนข้างถนนอย่างที่เคยโดนปรามาสเหมือนครั้งที่เพิ่งมาถึงไทยใหม่ๆ
“วันนี้แกไม่ออกไปไหนหรือไง” นั่งลงที่ประจำของตัวเองแล้วหยิบกาแฟขึ้นมาจิบ ค่อยตักข้าวต้มเข้าปากด้วยความเอร็ดอร่อย ไม่ลืมหยิบปาท่องโก๋ฉีกลงไปด้วย ยิ้มกริ่มพยักหน้ามีความสุขจนคุณทัศนียานึกหงุดหงิดเห็นคนนั่งตรงข้ามมีความสุขเกินเหตุ แต่นางยังเลือกเงียบไม่ได้พูดหรือเปิดประเด็นอะไรในตอนนี้
รอเวลาและจังหวะที่เหมาะสมก่อน...
