๔ ไร้ค่า (๑)
๔
ไร้ค่า
การทำงานวันแรกเล่นเอาเขาหัวหมุน ต้องศึกษาเอกสารทั้งวันจนลายตา เรื่องเรียนไม่จบของเขาโด่งดังในหมู่พนักงานเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มไม่ได้แก้ไขความเข้าใจผิดแต่อย่างใด เขาอยากสร้างผลงานให้ประจักษ์มากกว่า ได้โครงการก่อสร้างอาคารมาสองแห่งของรัฐบาล คิดจะทำให้ประสบความสำเร็จซึ่งคิดว่าคงไม่ยาก
เขามีประสบการณ์จากการทำงานที่ต่างประเทศ อาจไม่ได้เป็นหัวหน้าคุมงานแต่ก็รู้วิธีการทำงาน แต่ตอนนี้อยากศึกษางานที่ผ่านมามากกว่า พอเงยหน้ามองนาฬิกาอีกทีเห็นว่าค่ำแล้ว จึงเก็บทุกอย่างเตรียมพร้อมกลับบ้าน
เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อแล้วกัน...
คิดอย่างนั้นจึงเดินมายังลานจอดรถ นั่งประจำที่คนขับแล้วกำลังจะเคลื่อนพาหนะออกจากลานกว้างที่ไม่มีรถสักคนนอกจากของเขาเพียงคนเดียว
แต่ยังไม่ทันได้ขับไปไหน กลับมีรถมอเตอร์ไซค์มาจอดตรงหน้า เห็นชายใส่ชุดสีดำโดยสวมหมวกกันน็อคปิดบังใบหน้าเอาไว้ ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อเห็นอุปกรณ์ที่คนซ้อนหยิบออกมาจากกระเป๋า จากนั้นเสียงปืนก็ดังติดต่อกันสามนัด
ปัง ปัง ปัง
ห้องอาหารของบ้านไกรวรวงศ์ถูกจับจองเกือบครบทุกที่แล้ว เหลือเพียงข้างขวาใกล้คุณอาทิตย์ซึ่งเคยเป็นที่นั่งของสิรภัทร แต่บัดนี้เมื่อลูกชายของท่านกลับไทย ก็ยกให้เป็นที่ประจำของตะวันฉายแทน ส่วนเขาก็เลื่อนมานั่งข้างกันอยู่ตรงข้ามกับวรรณวิสา
เป็นที่ถูกใจหญิงสาวอย่างมาก...เพราะได้นั่งมองชายในดวงใจถนัดกว่าเดิม
“ค่ำแล้วมันยังไม่มา ไม่ตรงต่อเวลาไร้ความรับผิดชอบ” ประมุขของบ้านเหลียวมองนาฬิกาบ่อยครั้ง ถอนหายใจหลายรอบทำได้แค่มองอาหารเพราะมีกฎเหล็กของบ้านว่าต้องพร้อมหน้าพร้อมตาจึงจะกินข้าวได้
ทุกคนทำตามอย่างดีมาโดยตลอด กินข้าวพร้อมหน้ายกเว้นวันใดที่สิรภัทรเลิกงานดึกก็จะโทรมาบอกก่อน ทว่าคราวนี้ลูกชายของตนไม่บอกอะไรสักคำ ทำให้ทุกคนต้องนั่งรออย่างไร้จุดหมาย เล่นเอาคนหิวข้าวถึงกับโมโห
“ใจเย็นสิคะ งานน่าจะเยอะทำให้มาสายก็ได้” พูดอย่างใจเย็นดูเหมือนจะไม่ทุกข์ร้อนเลยสักนิด กลับยิ้มกริ่มมีความสุข เกือบเผลอหัวเราะร่าแล้วแต่ก็ต้องเม้มปากไว้ พยายามตีหน้าซื่อทำเป็นไม่รู้เรื่องราว
“ถ้างั้นก็น่าจะโทรมาบอกหน่อย ไม่ใช่ให้นั่งรอแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน...กินเลยแล้วกันไม่ต้องรอมันหรอก หิวก็ให้หากินเอง” ประกาศิตเจ้าของบ้านทำให้ทุกคนเริ่มหยิบช้อนส้อมเพื่อนรับประทานอาหารเย็น โดยไม่รออีกคนที่เพิ่งกลับถึงบ้าน
ร่างสูงเดินเข้ามาในห้องอาหารโดยพาดเสื้อสูทไว้ที่บ่าแกร่ง ยิ้มกว้างทุกคนแล้วหยุดสายตาไว้ที่แม่เลี้ยงหน้าซื่อใจคด
“รอลูกชายแค่นี้ก็ไม่ได้เหรอครับคุณพ่อ” คุณอาทิตย์มองลูกชายแล้วส่ายหน้าระอากับความเป็นไม้เบื่อไม้เมากับตน ไม่เคยเลยสักครั้งจะได้พูดดีกันเกินสามประโยค
ขณะที่คุณทัศนียาตกใจแทบสิ้นสติ เบิกตากว้างแล้วจ้องให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฟาด เผลอกำช้อนส้อมเอาไว้แน่น แสดงสีหน้าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่เมื่อครู่ยังยิ้มแย้มมีความสุขกับชัยชนะของตัวเองอยู่เลย
“ตะวันฉาย!”
“โอ้ คุณแม่เลี้ยงตกใจอะไรขนาดนั้นครับ คิดว่าผมโดนยิงตายไปแล้วเหรอ” เดินมานั่งลงยังเก้าอี้ฝั่งขวาข้างบิดา แย้มยิ้มอย่างไม่ยี่หระแล้วฟังจากคำพูดเหมือนเขาจะรู้หมดทุกอย่างว่าใครเป็นผู้บงการและอยู่เบื้องหลังการสั่งปลิดชีวิตคราวนี้
คุณผู้หญิงของบ้านใบหน้าซีดเผือด มือชื้นเหงื่อรีบวางช้อนส้อมแล้วหยิบน้ำขึ้นมาดื่มจนหมดครึ่งแก้ว เห็นสายตารู้ทันของลูกเลี้ยงทำให้กังวลมากกว่าเดิม
แต่คำพูดของตะวันฉายสร้างความไม่ชอบใจแก่คนเป็นพ่ออย่างมาก ไม่ว่าจะเจอกันกี่ครั้งลูกชายก็ไม่เคยให้ความเคารพภรรยาใหม่ของตนเลย
“พูดอะไรของแก”
ยักไหล่ไม่ตอบอะไรต่อจากนั้น เขาเลือกจะเริ่มลงมือรับประทานอาหารทั้งที่ตัวเองโกรธจนตัวสั่น เกือบเอาชีวิตไม่รอดถ้าไม่รอบคอบด้วยการเอารถยนต์ไปติดกระจกกันกระสุนเพื่อความปลอดภัยในชีวิต ทั้งยังให้ตรวจเช็คทุกอย่างว่าจะไม่มีการตัดสายเบรกหรือติดอุปกรณ์ติดตาม
คิดว่าทำทุกอย่างเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของตัวเอง เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมาไม้ไหน จึงต้องเซฟชีวิตให้มากสุด
แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกยิงซึ่งหน้าไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย
หากจะให้ตามหามือปืนก็คงไม่ง่ายนักหรอก แล้วจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นซะเปล่า เขาคงต้องรอเวลาและโอกาสอันเหมาะเพื่อแก้แค้น
คิดว่าคงอีกไม่นาน...
“ขอโทษครับคุณพ่อ ผมก็แค่พูดเล่นไปเรื่อยเท่านั้นเอง พอดีอ่านเอกสารนานไปหน่อยเลยทำให้มาสาย คงหิวไส้จะขาดกันแล้วใช่ไหมครับ เอ้ากินครับกิน เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน” รับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยแล้วมองคนที่นั่งตรงข้ามตน
เห็นว่าแม่เลี้ยงเอาแต่เขี่ยข้าวด้วยมือไม้สั่น ก็นึกสะใจเป็นอย่างมาก จึงได้พูดเรื่องที่ไม่มีใครทราบขึ้นมากลางวงอาหาร เพื่อปกป้องตัวเองให้พ้นจากภัยร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ทุกที คราวนี้ถือว่าโชคดีไปแต่ถ้ามีครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าจะโชคดีอย่างนี้อีกหรือเปล่า
“เกือบลืมไปเลย คุณพ่อทราบใช่ไหมครับว่าคุณแม่ทำพินัยกรรมเอาไว้ ว่าถ้าผมเสียชีวิตโดยที่ยังไม่ได้ทำพินัยกรรมไม่ว่าจะสาเหตุใดก็ตาม ทรัพย์สินในส่วนของผมทุกอย่างจะถูกโอนไปให้องค์กรการกุศล...” พูดจบประโยคก็ทำให้ทั้งโต๊ะตกอยู่ในความเงียบ
ความรักของแม่ที่มีต่อบุตรชายเพียงคนเดียว แม้จะจากไปแล้วก็ยังคงปกป้องชายหนุ่มอยู่เสมอ ทำให้เขายังคิดถึงท่านไม่เสื่อมคลาย แม้อยู่ต่างประเทศหากถึงวันครบรอบการเสียชีวิตของมารดา ก็มักจะมาทำบุญที่วัดไทยและทำอาหารไปให้คุณฉันทนาอยู่เสมอ
“ใช่ ทำไม” คุณอาทิตย์ตอบเสียงเรียบ นึกสงสัยทำไมลูกชายถึงพูดเรื่องนี้กลางโต๊ะอาหารทั้งที่ไม่มีประโยคกล่าวนำเลย เขาเลือกจะส่ายหน้าไม่ได้ขยายความอะไร เพราะความจริงต้องการส่งสารไปถึงใครบางคนเท่านั้น
และดูเหมือนคนผู้นั้นจะรับรู้แล้ว...
“เปล่าครับ ผมก็แค่อยากถามให้แน่ใจ” คนอื่นไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร เว้นเพียงคุณทัศนียาที่พอจะทราบถึงเหตุผลของลูกเลี้ยง นางจึงหยิบแก้วน้ำมาดื่มจนหมด จากนั้นค่อยหันไปบอกสามีทั้งที่ตัวเองเพิ่งตักข้าวเข้าปากไม่ถึงสามคำด้วยซ้ำ
“ฉันอิ่มแล้ว ขอตัวนะคะ” ไม่ทันได้ทักท้วงก็เห็นว่าภรรยาเดินออกจากห้องอาหารไปแล้ว ทุกคนมองตามด้วยความฉงน มีเพียงท่านรองฯ เท่านั้นที่ดูท่าว่าจะเจริญอาหารมากกว่าเดิม ตักข้าวเข้าปากพลางแย้มยิ้มมีความสุข
“อาหารวันนี้อร่อยดี ผมเจริญอาหารแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย”
คุณอาทิตย์ส่ายหน้าระอาบุตรชาย ขณะที่วรรณวิสาก็ถอนหายใจเสียงเบาใส่เขา ไม่ชอบชายหนุ่มมากกว่าเดิมอีก กลับมาแล้วสร้างเรื่องไม่เว้นวัน เมื่อก่อนรับประทานอาหารกันอย่างมีความสุขเต็มไปด้วยรอยยิ้มเสียงหัวเราะ
ทุกวันนี้มีเพียงความเงียบและอึดอัด เธอเองก็เริ่มจะทานอะไรไม่ลงแล้วเหมือนกัน...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ขึ้นห้องมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ล็อคห้องเรียบร้อย เกรงว่าจะมีแขกไม่ได้รับเชิญมาอีก พอออกจากห้องน้ำก็ถอนหายใจโล่งอกเมื่อไม่เห็นตะวันฉาย เธอกำลังจะเดินมาปิดไฟก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นจึงชะงัก
“ใครคะ”
หวังว่าคงไม่ใช่ตะวันฉายหรอกนะ...
