บท
ตั้งค่า

๒ ไม่ชอบ (๓)

“เพราะฉันไม่ชอบ ฉันเกลียดที่จะเห็นมัน” บอกเสียงหักแล้วจ้องสร้อยคอนิ่ง หากมีพลังวิเศษก็คงเผามันให้ไหม้ไปแล้ว แต่สิ่งที่ทำได้คือบอกให้หญิงสาวถอดออก ถึงเธอจะไม่เต็มใจทำเช่นนั้นก็ตาม เพราะสร้อยเส้นนี้มีคนที่พิเศษต่อใจให้มา

“คุณมันบ้า!”

“ใช่ ฉันมันบ้า แล้วอยากรู้ไหมว่าคนบ้ามันทำอะไรได้บ้าง...” ไม่เพียงแค่ขู่อย่างเดียว เขากลับโน้มหน้าลงมาซุกที่ซอกคอขาวอย่างรวดเร็ว สัมผัสจากหนวดทำให้นึกรังเกียจจนต้องพยายามขยับหนีแต่ก็ไม่อาจรอดพ้นเพราะถูกเขากอดไว้แน่น

สุดท้ายหญิงสาวก็ต้องทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ ตะโกนเสียงดังเพื่อยอมจำนนต่อชายหนุ่ม ถึงจะขัดต่อใจของตนเองก็ตาม

“ถอด ถอดแล้ว!” ตะโกนเสียงดังทำให้เขายอมผละใบหน้าออก แต่ก็ยังคงกอดเธอเอาไว้เหมือนเดิม ลมหายใจร้อนรดต้นคอขาวจนเธอไม่มีสมาธิในการถอดสร้อย ตะวันฉายเห็นเช่นนั้นจึงหงุดหงิดจนยอมปล่อยเธอเป็นอิสระ แล้วถอดสร้อยเส้นนั้นออกอย่างรวดเร็ว วางมันไว้บนโต๊ะค่อยกลับมามองคอระหงที่ปราศจากสิ่งรกหูรกตา

“มานี่ฉันถอดให้เอง มันถอดยากถอดเย็นเหลือเกิน แล้วฉันจะเก็บสร้อยเส้นนี้เอาไว้เอง วันไหนอยากคืนเดี๋ยวจะเอาไปคืน...ส่วนเธอสวมกำไลเส้นนี้เอาไว้เผื่อมันจะชดเชยสร้อยได้บ้าง”

จากนั้นเขาก็นำกำไลเงินที่มีดวงตะวันประดับโดยรอบสวมไว้ที่ข้อมือเล็กแทน เธอค่อนข้างตกใจพอสมควรจะขยับแขนหนีก็ไม่ทันเพราะถูกจับไว้แน่น

“ฉันไม่ใส่” บอกเสียงแข็ง พยายามจะถอดกำไลที่เขาสวมให้ออกจากข้อมือ แต่กลับโดนร่างหนารวบตัวเข้าไปกอด คราวนี้ใบหน้าของเธอแนบกับอกกว้างจนต้องพยายามใช้มือยันเขาเอาไว้ไม่ให้ใกล้กันมากกว่านี้

“ถ้าเธอไม่ใส่ก็ไม่ต้องออกจากห้อง นอนกับฉันที่นี่ไปเลย” พูดไม่พอยังพยายามอุ้มเธอไปที่เตียงอีก วรรณวิสาจึงตะโกนเสียงดังแล้วเบี่ยงหน้าหลบเกรงว่าริมฝีปากของตนจะจุมพิตเข้าที่อกหนา

“คุณฉายปล่อย! ตัวคุณเหม็นน้ำก็ไม่อาบมานอนได้ยังไง ปล่อย!” ตะโกนเสียงดังจนเจ็บคอไปหมดแล้ว เธอพยายามทุบอกเขาแต่ร่างสูงก็ยังไม่ยอมปล่อยสักที ไม่รู้จะกอดอะไรนักหนา ใบหน้าหวานบึ้งตึงทั้งยังส่งสายตาค้อนให้เขาหลายรอบ

“อ้าว งั้นถ้าฉันอาบน้ำตัวหอมก็นอนกอดได้น่ะสิ” สุดท้ายชายหนุ่มก็ยอมปล่อยหล่อนเป็นอิสระเมื่อเห็นดวงตากลมแดงก่ำมีน้ำใสคลอเต็มเบ้าจนเอ่อล้น เขาถอนหายใจก่อนจะจับข้อมือเธอเอาไว้ ค่อยมองดวงหน้าหวานนิ่งเหมือนต้องการหยั่งเชิงว่าเธอจะถอดกำไลหรือไม่

“คนบ้า...” ร่างบางพึมพำต่อหน้าเขา ตะวันฉายไม่ได้ว่าอะไรทำเพียงแค่ยิ้มมุมปากเท่านั้น

“ใส่ไว้ ถ้าฉันเห็นว่าเธอถอดกำไลข้อมือที่ฉันให้เมื่อไหร่เป็นเรื่องแน่ เข้าใจหรือเปล่า” ยังคงจับข้อมือของเธอเอาไว้ พร้อมคำขู่ที่ทำให้เธอจำต้องตอบรับอย่างเสียไม่ได้ จ้องคนตัวสูงแล้วพยายามบิดข้อมือตัวเองให้เป็นอิสระ

“ค่ะ! คราวนี้คุณปล่อยฉันไปได้หรือยัง...” พูดไม่ทันจบก็ถูกดึงเข้าไปใกล้ แล้วเขาก็ฟังจมูกลงที่แก้มของเธอ พลางสูดกลิ่นหอมเข้าไปเต็มปอด เล่นเอาหญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะไม่เคยให้ชายใดหอมแก้มมาก่อน

ฟอด

“คุณฉาย! คนฉวยโอกาส!” ตะโกนเสียงดังแล้วรีบวิ่งออกจากห้องเมื่อเขายอมปล่อยมือของตน ปล่อยให้หนุ่มนักเรียนนอกมองตามแล้วแอบยิ้มขำขันกับท่าทีของเจ้าหล่อน

ไม่เจอกันนาน...เธอก็ยังน่าแกล้งเหมือนเดิม

“ยัยเปี๊ยกเอ๊ย ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย”

ก่อนใบหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเมื่อคิดว่าการกลับมาครั้งนี้จะต้องทวงคืนทุกอย่างของตัวเองคืนมาจากสองแม่ลูกให้ได้!

กลิ่นหอมของอาหารโชยไปถึงชั้นบนของบ้านทำให้คนที่นอนหลับต้องลืมตาตื่นไปล้างหน้าล้างตาแล้วสวมเสื้อกล้ามกับกางเกงขายาวตัวโปรดลงมาข้างล่าง ยกมือปิดปากหาวเพราะยังตื่นไม่เต็มตาแต่ก็หิวเกินกว่าจะนอนต่อ ไม่ได้กินอาหารไทยหลายปีเพราะต้องใช้เงินอย่างประหยัด ทำงานพิเศษที่ร้านเบอร์เกอร์และกินแต่เบอร์เกอร์เหลือมาหลายปี

ไม่น่าเชื่อว่าลูกชายเพียงคนเดียวของนักธุรกิจหมื่นล้าน จะต้องใช้ชีวิตราวกับยาจกข้างถนนอยู่หลายปีเพราะเงินตกไม่ถึงมือ ยังดีที่มีเพื่อนคอยให้ความช่วยเหลือและดึงกลับมาในร่องในรอย ไม่เช่นนั้นคงเตลิดเปิดเปิงไปแล้ว

เข้ามาในห้องอาหารก็เห็นคนทั้งสี่นั่งประจำที่แล้วรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ไม่มีใครเรียกหรือทักเขาสักคน มือหนากำเข้าหากันแน่นแล้วเลือกจะนั่งลงข้างสิรภัทรซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวรรณวิสา แววตาแข็งกร้าวกวาดมองทุกคนก่อนจะหยุดที่แม่เลี้ยงของตน ความเคียดแค้นส่งผ่านทางสายตาแล้วค่อยหันมารับประทานอาหารเมื่อแม่บ้านนำมาเสิร์ฟ

“ตื่นเช้ากันจังเลยนะครับ จะไปทำงานกันใช่ไหม...เสียดายผมเพิ่งถึงไทยยังรู้สึกเจ็ทแลคอยู่เลยคงไปทำงานด้วยไม่ได้ กะว่าจะไปกินข้าวดูหนังหน่อยน่ะครับ”

เริ่มบทสนทนาในโต๊ะอาหาร กินข้าวต้มด้วยความหิวและเอร็ดอร่อย

“ด้วยสภาพเหมือนโจรแบบนี้น่ะเหรอ หนวดเคราไม่โกน ผมยาวรุงรัง สภาพแกนึกว่าเพิ่งออกมาจากป่า” คุณอาทิตย์เห็นสภาพลูกชายแล้วถึงกับส่ายหัว แต่เขาไม่ได้สนใจกับรูปลักษณ์ของตัวเองสักเท่าไหร่ ค่าตัดผมอยู่ต่างประเทศแพงจะตายสู้มาตัดที่ไทยก็ไม่ได้

“มันเป็นสไตล์ครับคุณพ่อ...แต่สัปดาห์หน้าผมจะเข้าบริษัทนะครับ” ท้ายประโยคไม่ลืมบอกความตั้งใจของตัวเอง เล่นเอาสิรภัทรที่นั่งข้างกันถึงกับหลุดหัวเราะ เอ่ยถามแกมประชดจนคุณทัศนียาต้องปรามลูกชายไม่ให้พูดมากกว่านี้ กลัวภัยจะมาถึงตัวเอง

“หึ พี่ฉายเรียนก็ไม่จบ เข้าบริษัทไปจะทำงานอะไรล่ะครับ ตำแหน่งเดินเอกสารก็ไม่ว่างนะ” เจ้าของชื่อถึงกับแสยะยิ้มแล้วมองน้องชายต่างสายเลือดที่ไม่ค่อยอยากยอมรับสักเท่าไหร่ แม่เป็นอย่างไรลูกก็เป็นเช่นนั้น สายตาเต็มไปด้วยความดูแคลนและกดเขาให้ต่ำกว่า

“ภัทร”

คุณทัศนียาส่ายหน้าแล้วเรียกสิรภัทรไม่ให้พูด ท่าทีอ่อนโยนกับแววตาที่มีความเมตตาทำให้เขาสะอิดสะเอียนเหลือทน ยิ่งเห็นข่าวที่เขียนสรรเสริญแม่เลี้ยงถึงความดีของอีกฝ่ายก็แทบคลั่ง นางมารร้ายคนนี้ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าดีสักนิด

ก็แค่ทำเพื่อเอาหน้า...

“รองประธานไง...ผมเป็นหัวโขนเก่งนะครับคุณพ่อ ถึงจะเรียนไม่จบอะไรสักอย่างแต่ทำไงได้ ผมมันคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดนี่น่า คุณพ่อคงไม่ใจร้ายให้ลูกชายคนเดียวไปเป็นเด็กเดินเอกสารหรอกใช่ไหม”

ข้อดีเดียวของเขาตอนนี้คือเกิดมารวย จึงต้องใช้ให้คุ้มเสียหน่อย...

“เรื่องงานค่อยว่ากันอีกที” คุณอาทิตย์แบ่งรับแบ่งสู้ยังอยากดูฝีมือของลูกชาย ทั้งยังไม่ได้รับประวัติการศึกษาของอีกฝ่าย

อย่างไรก็ต้องทำตามขั้นตอนหน่อย การจะขึ้นตำแหน่งสูงไม่ใช่เรื่องง่าย เขาไม่ต้องการให้ผู้บริหารท่านอื่นมาดูถูกตะวันฉายได้

อาหารมื้อนั้นไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่สำหรับสองแม่ลูก เมื่อแยกย้ายกันสิรภัทรก็รีบเดินมาหามารดา แล้วส่งสายตาเพื่อขอความเห็นเรื่องที่พี่ชายต่างสายเลือดจะไปทำงานที่บริษัท แล้วตำแหน่งก็ใหญ่โตกว่าตนไปหลายขุม

ความอิจฉาแฝงในใจไม่อาจเก็บเอาไว้ได้

“คุณแม่”

“ใจเย็นก่อน”

ท่านเองก็โมโหเช่นเดียวกัน แต่ยังไม่อาจทำอะไรได้ คงต้องคอยดูทิศทางลมก่อนว่าจะไปทางไหน อย่างไรก็ต้องหาทางกำจัดลูกเลี้ยงไปให้พ้นทางจนได้!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel