๒ ไม่ชอบ (๒)
“แกอย่าโวยวายได้ไหม แค่นี้ฉันก็ปวดหัวมากพอแล้ว ไอ้ฉายมันไม่บอกว่าจะกลับแล้วฉันจะไปตรัสรู้ได้ยังไง!” นึกโมโหลูกเลี้ยงของตนที่ไม่เคยนับถือหรือเชื่อฟังกันเลยสักครั้งเดียว ถือเป็นก้างชิ้นใหญ่ในชีวิตก็ไม่ผิดนัก
“แต่ไม่เป็นไรหรอก มันไม่ลงรอยกับพ่อแกไม่ต้องห่วงเรื่องบ้านหรือบริษัท อีกอย่างมันก็เรียนไม่จบ เก่งแต่หาเรื่องคนอื่นไปวันๆ คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก ตอนนี้แกต้องทำใจให้สบายเอาไว้...” พยายามปลอบใจกันถึงจะเริ่มกลัวการกลับมาของตะวันฉาย เพราะยังไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับเรื่องนี้
ตัดช่องทางไปแทบจะหมดทุกอย่างแล้ว ยังกระเสือกกระสนกลับไทยมาได้อีก คงอยากทวงทุกอย่างคืนสินะ
แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!
“ผมจะพยายาม”
“มันต้องไม่ได้อะไรสักอย่าง...”
ทัศนียาพึมพำกับตัวเองเสียงเบา ก่อนคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงคิดจะจัดการกำจัดเสี้ยนหนามให้สิ้นเรื่องสิ้นราว!
หลังจากดื่มน้ำเรียบร้อยเธอก็เดินขึ้นบันไดเพื่อจะเข้าห้องพักผ่อน ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วชักจะง่วงเต็มที พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้าเพื่อมาใส่บาตรและทำอาหารให้คนในบ้านรับประทาน จึงคิดจะรีบเข้านอนทว่าเท้าก็ต้องหยุดชะงักเมื่อแม่บ้านคนสนิทเดินถือถาดของว่างเข้ามาหาตน
“คุณพันคะ...คือ คือคุณฉายบอกให้เอาของว่างไปเสิร์ฟแต่พี่ไม่กล้าเข้าไป ฝากคุณพันหน่อยได้ไหมคะ” พี่สาที่อายุมากกว่าหล่อนเพียงแค่สามปีเอ่ยอ้อนวอน แค่เห็นหน้าลูกชายคนโตของบ้านไกรวรวงศ์ก็ทำเอาอกสั่นขวัญแขวนแล้ว
พ่อก็ออกจะดูดีแต่ทำไมลูกชายถึงเหมือนโจรขนาดนี้ คิดดังนั้นก็ทำตาปริบใส่คนตรงหน้าเพราะไม่อยากเข้าไปในห้องของเขา
วรรณวิสาถอนหายใจแล้วก็มองบานประตูที่อยู่ตรงข้ามกับห้องของหล่อน ลืมเสียสนิทว่าห้องเราอยู่ตรงข้ามกัน เพราะห้องนั้นปิดสนิทมากว่าสิบห้าปี เพิ่งได้เปิดใช้งานเป็นคืนแรก เธอไม่ชินเอาเสียเลยเพราะปกติห้องปีกซ้ายจะมีเพียงตนและดรุณีอาศัย
แต่เมื่อน้องน้อยบินไปเรียนไกลถึงเมืองผู้ดี จึงเหลือเธอที่ครองห้องทางด้านซ้าย บัดนี้กลับมีใครอีกคนเข้ามาครอบครองพื้นที่
“แต่ แต่ว่า...” พยายามจะหาข้ออ้างเพราะตนก็ไม่อยากเข้าไปในห้องของเขาเช่นเดียวกัน
เจอการกระทำเมื่อครู่ของเขาที่ปฏิบัติต่อตนก็ไม่กล้าจะเฉียดกรายเข้าใกล้ชายหนุ่มด้วยซ้ำ แต่กลับถูกยัดเยียดนำถาดอาหารว่างใส่มือไม่ทันได้ตั้งตัว แล้วอย่างนี้เธอจะทำอะไรได้นอกจากการตกปากรับคำ ถึงจะไม่อยากเข้าไปในห้องนั้นก็ตาม
“นะคะ แกดุอย่างกับโจร พี่ไม่กล้าเข้าใกล้ อย่างน้อยคุณพันก็น่าจะสนิทกับคุณฉายไม่ใช่เหรอคะ ช่วยพี่หน่อยนะคะ”
“ก็ได้ค่ะ”
เธอไม่เคยสนิทกับเขาสักครั้ง ถึงตลอดเวลาสิบห้าปีจะเขียนหาจดหมายหาชายหนุ่มบ่อยครั้งก็ตาม แต่ก็เหมือนพูดคนเดียวและไม่ได้ทำเพราะความเต็มใจ เป็นเขาที่บังคับทั้งนั้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ถือถาดอาหารแล้วใช้มืออีกข้างเคาะประตูห้อง เธอไม่อยากก้าวเข้าไปในห้องเลยสักนิดแต่ก็ขัดแม่บ้านที่ไหว้วานไม่ได้ ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายจากนั้นจึงรอฟังคำอนุญาตจากเจ้าของห้อง เธอเคยเข้าไปห้องของเขาเพื่อทำความสะอาดสองถึงสามครั้งตั้งแต่ตะวันฉายไปต่างประเทศได้หนึ่งเดือน
จากนั้นคุณทัศนียาก็ปิดตายห้องนี้ แม่บ้านสองถึงสามคนจึงได้เข้ามาทำความสะอาดกันยกใหญ่เพราะฝุ่นจับยิ่งกว่าห้องเก็บของเสียอีก ตอนแรกคิดว่าเขาจะไม่กลับมาเสียแล้ว
ได้ข่าวว่าเรียนก็ไม่จบ แถมยังทำตัวเกเรไม่เป็นโล้เป็นพาย กลับมาก็คงเพราะเงินหมดนั่นแหละ ความคิดของเธอเต็มไปด้วยด้านลบต่อเขา อาจเนื่องมาจากในอดีตเคยโดนชายหนุ่มรังแก แล้วเจอกันครั้งแรกในรอบสิบห้าปียังถูกแตะเนื้อต้องตัวอย่างที่ไม่เคยให้ชายใดทำมาก่อน
เขาเป็นคนแรก...และเธอก็นึกเกลียดสัมผัสเหล่านั้นเหลือเกิน!
“เข้ามา” เมื่อได้ยินคำตอบรับโดยที่ประตูยังปิด จึงต้องเป็นฝ่ายเปิดเข้าไปเอง
แต่กลับต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเห็นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของเขากำลังเปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างก็มีเพียงผ้าเช็ดตัวที่พันเอาไว้ รีบผินหน้ามองทางอื่นอย่างรวดเร็ว นึกโกรธเขาที่ไม่รู้จักสวมเสื้อผ้าให้มิดชิดกว่านี้
“ของว่างค่ะ” วางถาดของว่างซึ่งเป็นขนมปังกับนมไว้บนโต๊ะหนังสือ ของในห้องนอนยังเหมือนตอนที่เขาเป็นเด็ก เตียงขนาดหกฟุตที่ไม่ได้ยาวเพราะเมื่อก่อนตะวันฉายยังเป็นเด็กชายที่สูงหนึ่งร้อยห้าสิบเจ็ดเซนติเมตร ต่างจากบัดนี้ที่แทบจะสูงถึงสองเมตรด้วยซ้ำ ยามนอนเท้าก็คงจะเลยปลายเตียง สงสัยคงได้เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ยกชุด
เมื่อนำของมาให้เขาแล้วก็คิดจะเดินออกจากห้อง กลับต้องผวาเมื่อเอวคอดถูกเขาคว้าไว้แล้วดึงเข้าไปกอดจนแผ่นหลังบางชิดกับอกกว้าง แถมยังโน้มใบหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูหล่อนเหมือนตอนที่ยังอยู่สนามหญ้าอีก
หนวดของเขาครูดกับผิวของตนจนรีบย่นคอหลบ พยายามแกะมือหนาที่เลื้อยเป็นปลาหมึกเอาไว้ โตขึ้นทำไมมือไวขนาดนี้ก็ไม่รู้
“เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหนล่ะไม่เจอกันตั้งนานไม่คิดถึงฉันเหรอ” กลิ่นหอมจากเธอทำให้เขาอยากฝังจมูกลงไปสูดดม ผิวขาวเนียนละเอียดนึกอยากลูบไล้ทั้งวันคืน ดูผุดผ่องนวลเนียนไปทั้งเนื้อทั้งตัว แต่จะขัดใจหน่อยก็ตรงสร้อยคอที่หล่อนสวมเอาไว้
“ปล่อย ปล่อยนะคะ” ดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดแล้วพยายามบอกให้เขาปล่อย แต่มีหรือที่ตะวันฉายจะยอมให้เธอเป็นอิสระเมื่อยังไม่ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ กลับยิ่งกอดแน่นมากกว่าเดิมจนเธอดิ้นไม่ได้ หญิงสาวถอนหายใจเสียงดังบ่งบอกให้รู้ว่าไม่ชอบใจกับการกระทำของร่างหนา
“สร้อยสวยดีนี่ ซื้อเองเหรอ” ใช้มือเพียงข้างเดียวกอดเอวบางเอาไว้ ก่อนใช้มืออีกข้างเอื้อมมาจับสร้อยที่เธอสวมติดกาย ใบหน้าหวานบึ้งตึงแล้วพยายามเลี่ยงไม่ยอมตอบ แถมยังพยายามแกะมือของเขาออกจนเหนื่อยหอบ จึงยอมยืนสงบนิ่งอยู่อย่างนั้น
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ ปล่อยค่ะ ฉันบอกให้ปล่อยไงคะคุณตะวันฉาย!”
“ปล่อยแน่แต่เธอต้องถอดสร้อยเส้นนั้นออกมาก่อน...ถ้าถอดก็ปล่อยแต่ถ้าไม่ถอดก็กอดไว้แบบนี้แหละ ลองดูไหมล่ะ ให้กอดทั้งคืนยังได้นะ” คำพูดของเขายิ่งทำให้หล่อนโมโหจนหน้าแดง นึกอยากทุบชายหนุ่มแต่ก็ทำไม่ได้
ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าสร้อยที่อยู่บนคอของตนไปหนักส่วนไหนของเขา จึงพยายามบังคับบอกให้ถอดทั้งที่มันไม่เกี่ยวอะไรกับตะวันฉายด้วยซ้ำ หรือมองเห็นแล้วขัดหูขัดตาอย่างนั้นหรือ ช่างเป็นคนไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
“คุณต้องการอะไร”
“ต้องการให้เธอถอดสร้อยเส้นนั้น” สิ่งนั้นเธอทราบแล้วเพราะเขาบอกชัดเจน
จึงถามต่อเพราะอยากได้คำตอบที่แน่ชัด คิดว่าต้องเป็นเหตุผลที่ตัวเองรับได้จึงจำยอมทำตาม ทว่าเมื่อยินจากปากของเขา กลับทำให้หล่อนเผลอก่นด่าคนมือปลาหมึกอย่างใจนึก ไม่คิดมาก่อนว่าตะวันฉายจะเป็นคนไร้เหตุผลขนาดนี้
“เพื่ออะไร”
