๒ ไม่ชอบ (๑)
๒
ไม่ชอบ
แม่บ้านต่างช่วยกันเก็บกวาดลานหญ้าที่กลายเป็นพื้นที่จุดประทัดของบุตรชายคนโตแห่งบ้านไกรวรวงศ์ โดยคนต้นเรื่องกำลังนั่งเหยียดกายอยู่บนโซฟาตัวนุ่ม เสื้อผ้ามอมแมมไม่ต่างจากขอทานข้างถนน หนวดเคราก็ยาวจนแทบไม่เห็นใบหน้าจริง ผมหนาชี้ฟูเล่นเอาคนเป็นพ่อถึงกับส่ายหน้า ไม่อยากเชื่อว่าเป็นลูกชายของตัวเอง
ช่วงหลังท่านแทบไม่ได้บินไปหาตะวันฉาย น่าจะเกือบสิบปีด้วยซ้ำเพราะไว้ใจให้ภรรยาเป็นคนจัดการทุกอย่าง อีกทั้งไปคราวใดก็ทะเลาะกันตลอด จึงทำเพียงโทรศัพท์ไปถามไถ่บ้างแต่ลงท้ายที่ไม่เคยคุยด้วยกันดีเลย จากนั้นก็แทบไม่ได้โทร ส่งเพียงเงินให้อย่างเดียว
ก่อนจะได้ยินทัศนียาบอกถึงพฤติกรรมเกินจะรับของลูกชาย ทั้งไม่ยอมไปเรียน ไหนจะชอบต่อยตีเป็นกิจวัตรอีก กลับมาก็คงเรียนไม่จบแต่ไม่มีเงินใช้สินะเพราะท่านลดจำนวนเงินที่ส่งไปเพื่อเป็นการดัดนิสัยอีกฝ่ายเสียบ้าง
จะได้เห็นคุณค่าของเงินไม่ใช่ใช้จ่ายเป็นเบี้ย
“จะกลับไทยน่าจะบอกกันก่อนสิ เล่นจุดประทัดแบบนี้เกิดฉันหัวใจวายขึ้นมาจะทำยังไง” เขาทำเพียงยักไหล่แล้วตอบคำถามของท่านตามความจริง ไม่ได้ตั้งใจประชดเพียงแค่ปากไวไปหน่อย
“จัดงานศพครับ ผมมีเพื่อนเป็นเจ้าของร้านทำโลงศพ คุณพ่อชอบโลงแบบไหนบอกไว้ได้เลยนะผมจะได้จัดให้แบบถูกใจ”
นี่อย่างไรล่ะ เพราะปากแบบนี้จึงไม่อยากคุยด้วย!
คุณอาทิตย์ตบเบาะนุ่มแล้วตะโกนเรียกชื่อบุตรชายเสียงดังด้วยความโมโห คนเป็นภรรยาเห็นอย่างนั้นก็ผวามากอดแขนแล้วพยายามปลอบให้อีกฝ่ายใจเย็น ตะวันฉายเห็นเช่นนั้นก็เค้นยิ้มด้วยความสมเพช เกลียดทุกอย่างที่เป็นผู้หญิงคนนี้ แค่เห็นหน้าก็สะอิดสะเอียดแล้ว
“ไอ้ฉาย!” เสียงของท่านดังจนคนในห้องถึงกับสะดุ้ง
โดยเฉพาะวรรณวิสาที่ไม่เคยเห็นคุณลุงโกรธขนาดนี้มาก่อน
เธอจ้องมองชายเจ้าปัญหา กลับมาก็ทำให้บ้านร้อนเป็นไฟ คนอะไรเป็นตัวปัญหาเสียจริง
หล่อนทำหน้ามุ่ยก่อนจะผินหน้าไปทางอื่นเมื่อเขาหันมามอง ไม่ชอบหน้าตั้งแต่เด็กจนโต ถึงเขียนจดหมายไปหาทุกสัปดาห์ตลอดระยะเวลาสิบห้าปีก็ไม่ได้ทำให้สนิทสนมกับตะวันฉาย เพราะส่วนมากก็แค่เขียนเรื่องในบ้านและบอกเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง
ที่สำคัญคือเขาไม่ตอบกลับสักฉบับ!
แล้วคำขู่ว่าถ้าไม่เขียนสามเดือนจะตามมาทวงถึงบ้าน ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะทำจริงโดยการกลับไทยในรอบสิบห้าปี
“ล้อเล่นนิดเดียวขึ้นไอ้เลยเหรอครับ ผมก็แค่กลับถึงบ้านแล้วเห็นว่าบ้านเงียบเหงาวังเวงเกินไป เลยจัดการจุดประทัดต้อนรับตัวเองสักหน่อย จริงไหมครับคุณแม่เลี้ยง...ผมต้องขอบคุณมากนะครับที่ทำให้ผมโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ ถ้าไม่ได้คุณแม่เลี้ยงป่านนี้ไม่รู้ว่าผมจะใช้ชีวิตสุขสบายขนาดไหน เพิ่งรู้จักความลำบากก็ตอนนี้เอง”
ตอบอย่างไม่ยี่หระกับบิดาของตน จากนั้นจึงหันมามองคุณทัศนียาที่แววตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยามกับรูปลักษณ์ของลูกเลี้ยง ร่างหนาแสยะยิ้มแล้วพูดเป็นนัยพอให้ทราบกันสองคน ทั้งที่บอกว่าขอบคุณแต่ประโยคเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
จดจำความรู้สึกยามลำบากได้ไม่ลืม มันฝังลึกลงไปในใจจนคิดเพียงอย่างเดียวว่าจะต้องได้แก้แค้น
“แกพูดอะไร” ประมุขของบ้านถามด้วยความไม่รู้ คิ้วขมวดเข้าหากันแล้วจ้องดวงหน้าคมนิ่ง ตะวันฉายกำลังจะตอบแต่ยังพูดไม่ทันจบประโยคก็ถูกขัดเสียก่อน
“อ้าว คุณพ่อไม่ทราบเหรอครับว่า...”
“เอาล่ะค่ะ ในเมื่อคุณฉายก็กลับมาแล้วน่าจะเหนื่อยจากการเดินทาง แยกย้ายไปพักผ่อนดีกว่ามีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้เช้า” ท่าทีของแม่เลี้ยงทำให้เขานึกชังมากกว่าเดิม หน้าตาใสซื่อแต่ใจข้างในบิดเบี้ยว คนผู้นี้หรือที่มาแทนที่มารดาของเขา
ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่รู้เหตุใดบิดาจึงได้หลงนักหนา ผ่านไปสิบห้าปียังตาบอดหลงรักอสรพิษเหมือนเดิม ไม่รู้เลยว่ามันพร้อมจะแว้งกัดได้เสมอ
“แหม่ พอรู้ว่าผมอาจจะหลุดปากบอกบางอย่างถึงกับต้องรีบไล่กันขึ้นห้องเลยเหรอ” ยิ่งเห็นว่าคุณอาทิตย์ไม่รู้เรื่องอะไรก็ยิ่งสงสารปนสมเพช ไล่ลูกในไส้ไปเผชิญชะตากรรมไม่มาดูดำดูดีกันสักนิด กลับโอบอุ้มพิษร้ายเอาไว้ใกล้ตัว
เขาอยากจะเปิดศึกเสียเดี๋ยวนี้ แต่กลับโดนสิรภัทรแทรกขึ้นเสียงเข้ม ทนมานานแล้วที่เห็นอีกฝ่ายใช้สายตาเหยียดหยามมารดาของตน จุดสนใจของตะวันฉายจึงเบนจากคนแม่มายังคนลูก
“หยุดก้าวร้าวแม่ผม”
ไม่เจอกันนานสิรภัทรดูดีกว่าเดิมมากโข คงเสพสุขอยู่บ้านของเขาจนคิดว่าเป็นบ้านของตัวเองไปแล้ว ขณะที่เจ้าของบ้านตัวจริงเร่ร่อนอยู่ข้างนอก มือหนากำหมัดแน่นพลางจ้องอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง แววตาเต็มไปด้วยความน่ากลัวจนไม่มีใครกล้าสบ
“ใช้ชีวิตสุขสบายหน่อยทำเป็นปีกกล้าขาแข็งเหรอ...ระวังนะจะตกสวรรค์” พูดจบก็ลุกยืนก่อนคว้ากระเป๋ามาสะพายบ่าเอาไว้ แค่นี้ก็ทำให้คนทั้งบ้านอกสั่นขวัญแขวนแล้ว ยังมีเวลาอีกมากให้เล่นสนุกแต่ตอนนี้ขอกลับห้องตัวเองที่ไม่ได้มานานนับสิบห้าปีดีกว่า
ค่อยปรายตามองวรรณวิสาที่นั่งนิ่งไม่ยอมเหลียวมองเขาแม้แต่หางตา มุมปากยกยิ้มคล้ายกำลังเยาะหล่อน
“เอาล่ะครับ ผมไม่รบกวนดีกว่า เริ่มง่วงแล้วเหมือนกันขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ ราตรีสวัสดิ์ทุกคน...เฮ้อ! ได้กลับมาบ้านสบายจริงๆ” หัวเราะร่ามีความสุขแล้วค่อยเดินขึ้นไปบนบ้าน
ผ่านแม่บ้านที่ออกมาจากห้องของเขาหลังไปทำความสะอาดและเตรียมทุกอย่างสำหรับให้เข้าพักอาศัย ชายหนุ่มสั่งงานสองสามคำก่อนเดินเข้าห้อง
ปล่อยให้คนที่เหลือนั่งมองกันตาปริบ โดยเฉพาะสิรภัทรที่พยายามกักเก็บความไม่ชอบใจเอาไว้ เขาอุตส่าห์โล่งใจเรื่องของตะวันฉายมาได้หลายปี ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะกลับมาโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้ ถึงสภาพจะดูแทบไม่ได้แต่ก็เป็นสายเลือดของคุณอาทิตย์
อย่างไรคนเป็นพ่อ...ก็ต้องเข้าข้างลูกชายอยู่แล้ว
บางทีตำแหน่งที่เขายึดครองตอนนี้อาจจะต้องเปลี่ยนมือหรือเปล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัวจนต้องเรียกมารดาเพื่อขอคุยส่วนตัว
“คุณแม่ครับ”
“ยังไงกันคุณ เจ้าฉายจะกลับมาทำไมไม่บอกผมเลย” พอดีกับที่ประมุขของบ้านเอ่ยถามคู่ชีวิต ไม่มีใครทราบเรื่องนี้มาก่อน ทุกคนรู้พร้อมกันตอนเห็นชายหนุ่มยืนจุดประทัดอยู่สวนหลังบ้าน เหมือนจะประกาศชัยชนะตั้งแต่ยังไม่ทันได้ออกรบ
“ฉันเองก็ไม่รู้ค่ะ ฉายไม่ได้บอกอะไรสักอย่าง...คงอยากจะเซอร์ไพรส์คุณนั่นแหละค่ะไม่มีอะไรหรอก เราขึ้นไปพักผ่อนดีกว่า”
นางก็พยายามเก็บอารมณ์โกรธโมโหเอาไว้เช่นเดียวกัน แสร้งยิ้มหวานแล้วประคองสามีขึ้นไปบนห้อง ก่อนเหลือบมองบุตรชายเป็นอันรู้กันว่าท่านจะมาคุยด้วย สิรภัทรจึงเดินขึ้นห้องตามไปติดๆ
เหลือเพียงวรรณวิสาที่นั่งนิ่งเหมือนเดิม ก่อนพึมพำกับตัวเองเสียงเบา “ทำคนอื่นวุ่นวายทั้งบ้าน จะกลับมาทำไมไม่รู้” บ่นคนที่สร้างเรื่องราวเอาไว้ จากนั้นจึงเดินไปดื่มน้ำในห้องครัวเพราะตะโกนมาเยอะทั้งยังตกใจจากการถูกเขาจู่โจมอีกต่างหาก
ยกมือขึ้นจับลำคอของตัวเองที่ถูกริมฝีปากของเขาผ่าน ร้อนวูบวาบอย่างประหลาดจนต้องรีบสลัดความคิดนั้นทิ้ง
ขณะที่คุณทัศนียารีบเดินเข้าห้องของบุตรชายหลังส่งสามีเข้านอนเรียบร้อย ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล ไม่คิดมาก่อนว่าลูกเลี้ยงจะกลับไทย นึกว่ากลายเป็นคนติดเหล้าเมายาอยู่เมืองนอกเสียอีก แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ
“แม่ครับ ไอ้ฉายมันกลับมาแล้วผมจะอยู่ยังไง มันต้องยึดบ้าน ยึดตำแหน่ง...แม่น่าจะบอกก่อนเราจะได้หาทางแก้ไข” นึกกังวลจนสติแตก พูดกับมารดาเต็มไปด้วยความกลัว จนท่านต้องปรามเพราะตัวเองก็วิตกไม่ต่างกัน
