ตอนที่3
กัญชพรสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเคาะประตู มองนาฬิกาบนหัวเตียงพบว่าเป็นเวลาสิบโมงเศษๆ หล่อนยังไม่อยากจะลุกจากที่นอนเพราะยังรู้สึกอ่อนเปลี้ยและปวดเมื่อยไปทั้งตัว
“เข้ามาเถอะ ประตูไม่ได้ล็อค”
บอกไปเช่นนั้นเพราะคิดว่าเป็นคนในบ้าน ที่คงจะเป็นห่วงเพราะหล่อนไม่เคยตื่นสายเลยขึ้นมาดู แต่ทันทีที่ประตูเปิดออกให้เห็นคนมาเคาะปลุกก็แทบผวาขึ้นทั้งตัว
“พี่ขอเข้าไปได้มั้ย”
เสียงถามฟังกระดากแกมกริ่งเกรง
หล่อนพยักหน้า เพราะลำคอเริ่มตีบจนพูดไม่ออก
ร่างสูงเดินเข้ามาในห้อง นั่งลงบนขอบเตียง
“กัญ”
เขาเรียกแล้วก็เงียบ หล่อนสบตาเข้มคมแวบเดียวเท่านั้น แต่รู้สึกได้ในท่าทีอึดอัดบอกความไม่มั่นใจของชายหนุ่ม ที่หล่อนคุ้นเคยแต่น้อยคุ้มใหญ่
“พี่ไม่รู้จะพูดหรือแก้ตัวยังไง แต่ก็อยากจะ…เอ่อ…พี่คงพูดอย่างอื่นไม่ได้นอกจากขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น”
เขายิ้มเหมือนหยัน เมื่อเห็นสีหน้าและสบตาเบิกกว้างขึ้นของหล่อน
“พี่เสียใจ ละอายแก่ใจจนบอกไม่ถูก”
“เอ่อ...” หล่อนมองเขาอย่างไม่แน่ใจนัก
“พี่รู้” เขาพูด กังวานเสียงขมขื่นและเศร้าสร้อย “กัญไม่คิดว่าพี่จะจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
หล่อนเห็นเขายกมือเสยผมที่หวีไว้เรียบร้อย เหมือนจะเริ่มหงุดหงิด
“พี่ตื่นขึ้นมาก็ปวดหัวแทบแตก ตอนแรกก็...คิดว่าตัวเองฝันไป แม้จะฝันแปลกๆ อยู่บ้าง ต้องเสียเวลาอยู่พักใหญ่ถึงได้มั่นใจว่าสิ่งที่พี่คิดว่าฝันนั้นเกิดขึ้นจริงๆ”
เขากล่าวต่อเสียงทุ้มต่ำ
“ผู้หญิงที่อยู่กับพี่เมื่อคืนมีตัวตนไม่ใช่แค่ภาพมายา และเมื่อ...ไม่ใช่แพม ผู้หญิงคนนั้นก็ต้องเป็นกัญเพราะบนตึกนี้มีแค่กัญกับพี่”
กัญชพรหลบสายตาเข้มคม หล่อนไม่สามารถทนเห็นแววเจ็บปวด เสียใจ ละอายใจของเขาได้
“พี่เสียใจ...เสียใจจริงๆ ที่เกิดเหตุการณ์บ้าๆ นี้ขึ้นระหว่างเรา”
เสียงบอกความสำนึกผิดของเขา ทำให้กัญชพรแทบจะทนไม่ได้ มือใต้แพรเพลาะกำแน่นเข้าหากัน
“พี่รู้ว่ากัญคงเจ็บปวดแทบขาดใจ ถึงพี่จะจำอะไรไม่ได้แต่ก็จำได้ว่าไม่ได้เอ่อ...บันยะบันยังเลย”
หล่อนหน้าแดง อยากบอกให้เขาหยุดพูด แต่เปิดปากไม่ขึ้น จะเถียงว่าหล่อนไม่ได้เจ็บปวดมากมายก็ไม่ได้ เพราะถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกระบมตรงจุดที่ถูกเขารุกราน
“พี่คงรุนแรง กักขฬะ...”
“พอเถอะค่ะ พี่วรรษ” หล่อนหาเสียงตัวเองเจอ บอกเขาเสียงเบาด้วยความอับอายขายหน้า “อย่าพูดต่ออีกเลย ถ้าจะ...กรุณาขอให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปเถอะ”
“ไม่นะกัญ”
ทั้งน้ำเสียงสีหน้าเขา บอกว่าไม่เห็นด้วย
“เราต้องพูดกันให้รู้เรื่อง แต่ก่อนอื่นเลยพี่จะบอกให้กัญสบายใจ...พี่จะรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น”
แทนที่จะพอใจกับคำรับรองราวจะให้สัญญาของเขา ในใจหล่อนกลับมีแต่ความขมขื่น
“พี่ต้องรับผิดชอบ”
เขาย้ำ ด้วยกังวานเสียงหนักแน่น
“ไม่ค่ะ ไม่ต้อง พี่วรรษไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบอะไรทั้งนั้น”
หล่อนบอกเสียงเรียบ มือกำแล้วคลายอยู่ใต้แพรเพลาะ
“จะไม่ต้องได้ยังไง กัญไม่ใช่ผู้หญิงข้างถนน พี่จะได้...ปล่อยผ่านเลยไปง่ายๆ พี่ไม่ได้มีสันดานชอบปลุกปล้ำสาวบริสุทธิ์เป็นงานอดิเรกหรอกนะจะได้ไม่รู้สึกอะไรเลย!”
“พี่วรรษไม่รู้ตัวนี่คะว่า เอ่อ…ทำอะไรลงไป หรือถึงจะพอรู้ พี่วรรษก็คิดว่ากัญเป็น...พี่แพม”
หล่อนเล็งเห็นเงาหม่นผ่านวูบไปบนใบหน้าสะอาดคมสัน เมื่อได้ยินชื่อภรรยา
“ก็จริง”
เขายอมรับในที่สุด
“พี่คิดว่ากัญเป็นแพม ถ้าพอมีสติรู้ว่าเป็นกัญ เป็นเด็กในปกครองของพี่ เป็นหลานสาวคนที่พี่รักเคารพ พี่ก็คงไม่…”
ถ้าเพียงแต่จะมีสติรับรู้เขาจะไม่มีวันยุ่งเกี่ยวกับหล่อน ซึ่งในสายตาของเขาเห็นเป็นแค่เด็กสาวไม่ประสา...นั่นคือสิ่งที่สิ่งที่เขาเกือบจะพูดออกมา ทำไมหล่อนจะไม่รู้
“ยังไงก็ตามเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้วพี่ก็ต้องรับผิดชอบ แต่พี่ขอเวลาเคลียร์เรื่องหมั้นอยู่กับบุสสดีให้เรียบร้อยก่อน การบอกเลิกทั้งที่ผู้หญิงไม่มีความผิดพี่ก็ออกจะละอายใจอยู่ เห็นจะต้องค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา อาจเสียเวลาสักพัก”
หน้าคมสันเต็มไปด้วยความหมกมุ่นกังวล ที่หล่อนสัมผัสได้
ทิฐิและอีกหลายๆ อารมณ์เกือบจะทำให้โพล่งออกไปว่า ไม่ต้องมารับผิดชอบ หล่อนไม่ต้องการความรับผิดชอบที่ปราศจากความรู้สึกจากหัวใจเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่พูดไม่ออก ได้แต่มองตาเข้มๆ ไม่กระพริบ
“พี่จะไม่ขออะไร”
นวินวรรษเมินหน้าหนีจากลมโตมองเขาไม่กระพริบ เมื่อพูดต่อโดยไม่มองหน้าบอบบาง เสียงของเขาออกจะห้าว
“เพราะไม่เคยต้องการอะไรจากกัญ นอกจาก…ให้กัญอภัยในสิ่งที่พี่ทำลงไป”
เขาหันกลับมา
“ได้มั้ย?”
กัญชพรเบี่ยงศีรษะหนีมือที่ยื่นมา
นัยน์ตาคมวาบแสง แต่ก็หดมือกลับทันที เสียงพูดกระด้างขึ้น
“ไม่ว่ากัญจะรังเกียจหรือขยะแขยงพี่แค่ไหนแต่จำเอาไว้ด้วยว่ายังไงเราก็ต้องแต่งงานกัน พี่จะไม่ยอมเป็นไอ้ผู้ชายสารเลวปล้นพรหมจรรย์สาวบริสุทธิ์ หลานผู้ใหญ่ที่พี่ให้ความเคารพนับถือเป็นเด็ดขาด!”
นวินวรรษจบคำพูดฟังเหมือนขู่ ด้วยการลุกเดินตัวตรงออกจากห้อง แต่ยังอุตส่าห์หันกลับมากระชากประตูปิดตามหลังดังปัง
