บทที่ 7 คนแก่ขี้หึง

ธิดาวรรณเดินทางมายังมหาวิทยาลัยตามปกติเนื่องจากร่างกายแข็งแรงดีแล้ว หญิงสาวทบทวนเรื่องราวในคืนวันนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ป้องกัน ดังนั้นเธอควรจะป้องกันตัวเองเพราะยังเรียนไม่จบและไม่แน่ใจถึงความสัมพันธ์ว่าจะจบลงวันไหนจึงรีบแวะร้านขายยาบริเวณปากทางเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อซื้อยาคุมกำเนิดแบบรายเดือนเอาไว้ใช้ในครั้งต่อไปจากที่ศึกษาเรื่องนี้มาพอสมควร เธอควรทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุดมากกว่าจะเป็นแม่ของลูกจะเกิดมาในสถานะที่คลุมเครือแบบนี้
“นังน้ำเค็ม หล่อนหายดีแล้วหรือยะ” ชายใจหญิงเอ่ยทักทายเพื่อนสนิทที่กำลังเดินตรงเข้ามานั่งบริเวณโต๊ะม้าหินหน้าคณะตามเวลานัดดังเช่นทุกวัน
“อื้ม...หายแล้วจ้ะเจษ เอ่อ เจนี่”
“ฉันก็นึกว่าหล่อนป่วยการเมืองอ้อนสามีงี้” เจษฎาแซวตามประสา หาได้คิดจริงจังอย่างที่ปากพูด
“น้ำหวานไม่ได้คิดแบบนั้นนะเจษ” เจ้าตัวปฏิเสธพัลวัน
“จ้าๆ ฉันก็พูดไปงั้นแหละ นี่ยังบ่นกับนังชะอมอยู่เลยว่าหล่อนไม่มาแล้วเหงาปาก ไม่มีคนให้แกล้ง”
“น้ำหวานขอยืมเลกเชอร์ที่จดเมื่อวานมาดูบ้างนะชะเอม”
“ฉันเตรียมมาให้แกแล้วล่ะ” พูดจบเอมอรก็ยื่นสมุดโน้ตลายการ์ตูนส่งให้เพื่อน
“ขอบใจจ้ะ”
“เปลี่ยนจากคำขอบคุณมาเป็นขนมแทนดีกว่านะ ฉันชอบ”
“หล่อนนี่มันสายแหลกจริงๆ เดี๋ยวพี่ปอนด์ก็เอามาให้นังน้ำเค็มเองแหละ” ชายใจหญิงพูดราวกับรู้งาน ขนาดว่าเมื่อวานเพื่อนไม่ได้มาเรียนยังฝากขนมมาไม่ขาดมือ
“ถ้าคุณอรรถรู้เรื่องนี้น้ำหวานต้องโดนดุแน่” หญิงสาวนึกไปถึงคำพูดของอีกคนที่สั่งห้ามยุ่งกับรุ่นพี่คนนี้เด็ดขา
“แหม...ใครจะไม่ดุล่ะยะ ก็เมียทั้งคน” เจษฎาเองแม้จะไม่เคยได้เจอบุคคลที่เลี้ยงดูส่งเสียเพื่อนแบบจริงจังยังอดเสียวสันหลังแทนไม่ได้
“เราไม่ขึ้นเรียนกันเหรอเจษ ชะเอม” ธิดาวรรณตัดบทเมื่อเพื่อนทำท่าจะวกกลับมาแซวเรื่องนี้อีกครั้ง
“จะรีบขึ้นไปไหน ยังเหลืออีกตั้งชั่วโมง ออกไปกินน้ำปั่นหน้ามหา’ลัยกินกันดีกว่า อากาศร้อนแบบนี้” เอมอรเป็นฝ่ายชวนโดยมีชายใจหญิงพยักหน้าเห็นด้วย ซึ่งเธอก็ไม่คิดจะปฏิเสธเนื่องจากดูเวลาแล้วเป็นไปตามที่เพื่อนบอกจริงๆ
หลังเลิกเรียนเพื่อนสนิททั้งสามคนเดินมายังหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อแยกย้ายกันกลับบ้านพร้อมนัดแนะถึงเรื่องรายงานกลุ่มที่เคยตกลงกันไว้ว่าจะไปทำที่หอของเจษฎาในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้
“ตกลงไปค้างหอฉันหนึ่งคืนนะชะนีทั้งสอง อย่าลืมขออนุญาตคุณอรรถด้วยล่ะนังน้ำเค็ม”
“จ้ะ” ธิดาวรรณรับคำด้วยอาการหนักใจไม่น้อย
“แล้วนี่ต้องให้ฉันกับนังชะอมยืนรอราชรถมารับเป็นเพื่อนไหมเนี่ย” ชายใจหญิงเอ่ยถามขึ้นด้วยความเคยชิน
“ไม่ต้องหรอก ชะเอมกับเจษรีบกลับเถอะ เดี๋ยวพี่เสกสรรคงมาแล้วล่ะ” หญิงสาวตอบพร้อมส่งยิ้มหวานให้เพื่อนสนิททั้งสองคน
“โอเค! เจอกันพรุ่งนี้นะ”
วงหน้าสวยชะเง้อมองไปยังรถยนต์หลายต่อหลายคันที่แล่นเข้ามายังประตูหน้ามหาวิทยาลัย คันแล้วคันเล่าธิดาวรรณก็ยังไม่เห็นรถยนต์คุ้นตาดังเช่นทุกวัน ท้องฟ้าที่มืดครึ้มลงเพราะอากาศแปรปรวน กลางวันร้อนแต่พอตกเย็นฝนกลับเริ่มตั้งเค้า จวบจนกระทั่งสายตามองเห็นร่างสูงวิ่งกระหืดหระหอบเข้ามายังทิศทางที่ตนยืนอยู่
“ทำไมยังไม่กลับบ้านอีกล่ะน้ำหวาน เดี๋ยวพี่ไปส่งไหม แต่ว่ารถพี่จอดอยู่ใต้คณะ”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ปอนด์ เอ่อ...”
“ไม่ต้องเกรงใจครับน้ำหวาน เหมือนฝนจะตกแล้วนะ” ปกรณ์ยังคงขันอาสาด้วยความเต็มใจ
ปริ๊นนน!
เสียงแตรรถยนต์คันหรูดังยาวจนทั้งคู่สะดุ้งด้วยความตกใจก่อนที่ปกรณ์จะถือวิสาสะคว้าเอวคอดมาประชิดกายเพราะกลัวว่ารถคันดังกล่าวจะเฉี่ยวชนร่างทั้งตนเองและรุ่นน้องสาว
“เป็นอะไรไหมน้ำหวาน แม่ง...จะรีบไปตายที่ไหนวะ” ชายหนุ่มสบถออกมาด้วยความโมโหและเป็นห่วงหญิงสาวข้างกาย
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะพี่ปอนด์ น้ำหวานแค่ตกใจ” ธิดาวรรณตอบและค่อยๆ เบี่ยงกายออกมาอย่างมีมารยาท
“น้ำหวาน!” น้ำเสียงเข้มที่ดังมาจากทางด้านหลังเรียกสติให้เจ้าของชื่อหันกลับไปมอง ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นเพราะจำได้ดีว่าเป็นใคร ที่ตกใจยิ่งกว่าคือวันนี้อีกฝ่ายลงทุนมารับเธอด้วยตัวเอง
“คุณอรรถ”
“ทำอะไรกัน?” อติเทพยังคงถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจกับภาพที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่และเขาเห็นเต็มสองตา
“คุณ” ปกรณ์มองเจ้าของเรือนกายกำยำที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
“ฉันเป็นผู้ปกครองของน้ำหวาน” แม้ในใจอยากจะพ่นออกไปว่านี่คือ ‘เมียกู’ แต่ด้วยวุฒิภาวะที่มีมากพอทำให้อติเทพเลือกที่จะตอบออกไปแบบนั้น
“เอ่อ...สวัสดีครับ” นักศึกษาหนุ่มกระพุ่มมือไหว้ชายตรงหน้าทันทีที่ได้รับรู้ถึงสถานะดังกล่าวราวกับต้องการจะทำคะแนนไปในตัว ยังดีที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ยินคำด่าของตนเมื่อครู่
"อืม...จะกลับได้หรือยัง" หนุ่มใหญ่รับไหว้ส่งๆ ไม่ยินดียินร้ายกับการต้องทำความรู้จักกับชายหนุ่มอ่อนวัยกว่านักเพราะเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายดี
"กลับค่ะ" หญิงสาวตอบแบบไม่เต็มเสียงราวกับรับรู้อารมณ์ของชายตรงหน้า
"น้ำหวานขอตัวก่อนนะคะพี่ปอนด์ ขอบคุณมากค่ะ" ธิดาวรรณหันไปขอบคุณชายหนุ่มรุ่นพี่อีกครั้งก่อนจะรีบสาวเท้าไปยังบริเวณรถยนต์คันหรูซึ่งจอดรออยู่ไม่ไกล
“ใคร?” คำถามดังขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยดังตามหลังมาทันทีที่ก้าวเข้ามานั่งบริเวณเบาะด้านหลัง
“คุณอรรถหมายถึง...” นักศึกษาสาวถามกลับไปราวกับไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายอยากรู้
“ไอ้หมอนั่นไง ใช่คนที่ตามจีบน้ำหวานอยู่ไหม” หนุ่มใหญ่สรุปเองเสร็จสรรพเพราะจากสายตาที่ใช้มองเด็กในปกครองทำให้ไม่อาจคิดไปทางอื่นได้
“มะ...”
“อย่าโกหกน้ำหวาน” ถ้อยคำดักคอพร้อมแววตาคาดโทษทำให้ธิดาวรรณจำต้องสงบปากสงบคำลงพร้อมพยักหน้าเบาๆ คล้ายจะยอมรับในสิ่งที่เขากำลังสงสัย
“ตกลงว่านานเท่าไหร่แล้ว” คำถามต่อมายิงตรงเข้ามาอีกครั้ง
“เมื่อไม่กี่เดือนนี้ค่ะ” คำตอบนั้นเบาแสนเบาด้วยกลัวว่าจะถูกดุอีก
“ฉันจะไม่ว่าอะไร เพราะถือว่าหมอนั่นไม่รู้ว่าน้ำหวานกับฉันเป็นอะไรกัน” หนุ่มใหญ่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“วันนี้แค่บังเอิญเจอค่ะ อีกอย่างพี่ปอนด์เรียนอยู่ปีสี่แล้ว” แค่ได้ยินคำว่า ‘พี่’ หลุดออกมาจากริมฝีปากเล็กก็สร้างความขุ่นเคืองให้หนุ่มใหญ่ แต่ก็ยังพยายามระงับอารมณ์ไว้
“หวังว่าต่อไปน้ำหวานจะจัดการได้ อย่าให้ฉันเห็นอีก”
“ทราบแล้วค่ะ” หญิงสาวรับคำก่อนจะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเส้นทางที่เธอจำได้ว่าไม่ใช่ทางเดิม "ยังไม่กลับคอนโดหรือคะ"
"ยัง ฉันจะพาน้ำหวานไปดูหนัง" หนุ่มใหญ่ตอบ
เสกสรรได้รับคำสั่งตั้งแต่เดินทางมามหาวิทยาลัยแล้วว่าวันนี้จะพาหญิงสาวในปกครองไปห้างสรรพสินค้า แต่สิ่งที่ทำให้พลขับถึงกับลอบยิ้มออกมาคือคำว่า 'ดูหนัง' ร้อยวันพันปีผู้เป็นเจ้านายแทบจะไม่เคยย่างกรายเข้าโรงหนัง เป็นเวลามากกว่าสิบปีเห็นจะได้
“ยิ้มอะไร?” อติเทพเอ่ยถามลูกน้องคนสนิทเมื่อมองผ่านกระจกหน้ารถเห็นอีกฝ่ายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว
“ไม่มีอะไรครับคุณอรรถ” เสกสรรปฏิเสธและทำหน้าที่ของตนเองต่อไปจนกระทั่งถึงจุดหมาย
