บทที่ 5 หวง
ธิดาวรรณตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเวลาเกือบบ่ายสองโมง ร่างอิ่มพยายามฝืนกายลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ คุณอรรถคงจะออกไปทำงานแล้ว หญิงสาวคิดเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในห้อง
“ลุกขึ้นมาทำไม”
“น้ำหวานดีขึ้นแล้วค่ะ” เธอตอบอย่างเอียงอายเมื่อเห็นสายตาแห่งความเป็นห่วงทอดมองมา แสดงว่าเขาไม่ได้ออกไปทำงานอย่างที่เข้าใจแถมยังอยู่เฝ้าตนเองตลอด คิดมาถึงตรงนี้ใบหน้าหวานเริ่มซับสีเลือดขึ้นมา
“ดื้อจริงๆ นะน้ำหวาน ไม่น่ารักเหมือนแม่เธอเมื่อก่อน” หนุ่มใหญ่เผลอหลุดปากพูดออกมาจนคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กดื้อมองตาโต ทำไมเขารู้จักแม่เธอด้วย
“คุณอรรถรู้จักกับแม่น้ำหวานหรือคะ?” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะถามออกไป ดวงตากลมฉายแววแห่งความดีใจจนปิดไม่มิด ตั้งแต่จำความได้เธอไม่เคยได้เห็นหน้าท่านด้วยซ้ำ ซึ่งบิดาเองก็หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึง
“ใช่...รู้จัก” อติเทพตอบตามตรง ไหนๆ ก็หลุดปากออกมาแล้วจึงไม่อยากโกหกอีก
“พาน้ำหวานไปหาแม่หน่อยได้ไหมคะ” ธิดาวรรณร้องขอเหมือนเด็กยามอยากได้ของเล่น
“ฉันไม่รู้ว่าแม่เธออยู่ที่ไหน” สิ้นคำพูดนั้นของเขา ดวงตากลมโตกลับหม่นแสงลงราวกับคนสิ้นหวังจนหนุ่มใหญ่อดเห็นใจไม่ได้
“แต่ถ้าเธอทำตัวน่ารัก ฉันจะลองให้คนช่วยตามสืบให้” วาจาที่เอ่ยออกมาทำเอาคนหมดหวังตาเป็นประกายอีกครั้ง รู้ดีว่าเขาไม่มีทางโกหก
“ขอบคุณนะคะคุณอรรถ” ด้วยความดีใจที่จะได้เจอมารดาผู้ให้กำเนิด ร่างอิ่มรีบตรงเข้าไปกระพุ่มมือไหว้แนบอกกว้างเป็นการขอบคุณในสิ่งที่เขารับปากว่าจะทำ ปฏิกิริยาดังกล่าวทำเอาหนุ่มใหญ่(สายหื่น)นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับมือเล็กสองมือนั้นไว้
“ขอจูบเป็นรางวัลนะ” โดยไม่รอให้ตอบรับหรือปฏิเสธ ริมฝีปากหยักกดลงไปบนริมฝีปากเล็กเพื่อขอรางวัลอย่างที่ปากพูด ยามได้ดูดชิมความหวานล้ำจากริมฝีปากของเธอเสมือนเครื่องดื่มชั้นดีที่ไม่เคยรู้จักพอ
“พอแล้วค่ะคุณอรรถ น้ำหวานไม่สบายอยู่นะคะ” เธอเตือนเสียงเบากับจูบที่แทบจะสูบวิญญาณเมื่อครู่
“รู้น่า แค่จูบเดียวไม่ได้คิดจะรังแกอะไร” ผู้ชายเจ้าเล่ห์หัวเราะเบาๆ ในลำคอและยอมปล่อยให้คนในอ้อมกอดเป็นอิสระ
“น้ำหวานขอตัวไปอาบน้ำนะคะ”
“จะอาบได้ยังไง ไม่สบายอยู่ เดี๋ยวฉันเช็ดตัวให้” พูดจบชายหนุ่มก็ทำท่าจะผละออกไป ร้อนจนคนป่วยต้องรีบส่งเสียงห้ามเมื่อได้ยินถ้อยคำขันอาสาดังกล่าว
“ไม่เป็นไรค่ะ น้ำหวานอาบได้”
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าดื้อ นั่งรอฉันอยู่ตรงนี้” สิ้นคำสั่งนั้นดวงตากลมได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินออกไปจากห้อง กระทั่งกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับภาชนะใบเล็กและผ้าเช็ดตัวอีกผืน
ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด ในระหว่างที่กำลังหยิบผ้าขึ้นมาพร้อมกับจับแขนเรียวเอาไว้ สมาร์ตโฟนของเด็กในปกครองก็ดังขึ้นท่ามกลางอาการหวาดหวั่นของผู้เป็นเจ้าของ
“รับสิ” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยบอกเมื่อเห็นว่าเธอได้แต่มองสมาร์ตโฟนที่อยู่ไม่ห่างกายราวกับรอให้เขาเป็นฝ่ายอนุญาต
“จ้ะเจษ” ธิดาวรรณรับสายพร้อมกรอกคำทักทายไปทันทีที่เห็นชื่อบนหน้าจอ
“ว่าไงยะแม่คนป่วย ดีขึ้นรึยัง?” น้ำเสียงที่คุ้นหูดังมาตามสาย คนป่วยอยู่จึงเผยรอยยิ้มออกมา ดวงตากลมเหลือบมองบุรุษพยาบาลจำเป็นแวบหนึ่งจนคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันมุ่นคล้ายกำลังถามว่า ‘มีอะไร’
“น้ำหวานขอคุยกับเจษหน่อยค่ะ” เสียงหวานกระซิบพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดบริเวณลำโพงไว้ด้วย
“ก็คุยไปสิ ฉันไม่ได้รบกวนอะไรนี่” หนุ่มใหญ่ตอบ มิหนำซ้ำยังใช้ผ้าเช็ดลงบริเวณใกล้กับทรวงอกอิ่ม ทำท่าจะวนอยู่ตรงนั้นจนเธอชักไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นวิธีที่ถูกต้องหรือเปล่า
“ยังไงเนี่ยนังน้ำเค็ม ถามไม่ตอบ” เจษฎาถามซ้ำอีกครั้งเมื่อเพื่อนยังคงปิดปากสนิท ได้ยินเพียงแค่เสียงแว่วๆ เหมือนคนคุยกันดังผ่านเข้ามา
“อะ...เอ่อ น้ำ...น้ำหวานดีขึ้นแล้วเจษ”
“เป็นไร? ทำเสียงแปลกๆ” คำถามดังกล่าวเล่นเอาคนฟังหน้าม้าน เพื่อนจะไม่ถามก็แปลก ก็ตอนนี้มือหนากำลังทำเกินหน้าที่ด้วยการไล่ต่ำลงไปบริเวณใต้สะดือ
“ปะ...เปล่าจ้ะ”
“ว่าแต่ตอนนี้หล่อนอยู่กับคุณอรรถหรือเปล่านังน้ำเค็ม?”
“ทำไมเหรอเจษ” น้ำเสียงหวาดๆ ที่ดังผ่านมาพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะสื่อสารอะไร
“ก็วันเนี้ย อีพี่ปอนด์มาถามหาหล่อนน่ะสิ แถมยังมาขอไลน์หล่อนจากฉันกับนังชะอมอีก โอ๊ย...ถามหน่อย ใครจะไปกล้าให้คะ หลัวหล่อนได้ตามมาแหกอกฉันถึงมหา’ลัยแน่” ชายใจหญิงบ่นมาตามสาย อยู่ดีไม่ว่าดีรุ่นพี่ที่ตามจีบเพื่อนสนิทก็ทำท่าจะหางานให้
“ดีแล้วล่ะที่เจษไม่ได้ให้ไป เอ่อ...ไม่งั้น” หญิงสาวหยุดคำพูดไว้แค่นั้นหลังนึกขึ้นได้ว่าบุคคลที่ถูกกล่าวถึงนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย แถมบัดนี้ยังจ้องเขม็งมาราวกับรู้งาน
“รู้แล้วล่ะย่ะ ฉันไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงหรอก ต้องมีชีวิตเพื่อเก็บเงินไว้เสริมอึ๋ม ไหนจะต้องผ่าข้างล่างอีก” เจษฎาตอบแล้วหัวเราะคิก ก่อนที่เสียงหัวเราะนั้นจะสั้นลงเรื่อยๆ เพราะมีเสียงทุ้มดังแทรกเข้ามาชัดเจน
“คุยอะไรกันอยู่?” ผู้ปกครองจำเป็นกรอกคำถามลงไปยังปลายสายด้วยความอยากรู้
“อุ๊ย! เปล่าค่าคุณอรรถ เจนี่ก็ชวนนังน้ำเค็มคุยไปเรื่อยเปื่อย แค่อยากโทรมาถามอาการค่ะ ถ้านางดีขึ้นแล้วเจนี่ก็สบายใจ” คำแก้ตัวฉับพลันตอบกลับมา นังน้ำเค็มเกือบหางานให้แล้วไหมล่ะ ทำไมไม่บอกเพื่อนว่าอยู่กับสามี
“ฉันไว้ใจเธอได้แน่นะ” อติเทพถามกลับไป ดวงตาคมหรี่ขึ้นมามองคนที่หน้าซีดตั้งแต่ถูกแย่งมือถือมา เขายอมรับว่าเป็นการเสียมารยาท แต่เด็กดื้อตรงหน้าก็ไม่อาจปิดบังเรื่องราวที่แสดงอาการพิรุธผ่านดวงตาได้
“ได้สิคะ เจนี่ไม่กล้าโกหกคุณอรรถหรอกค่า”
“ก็ดี ครั้งนี้ฉันจะยอมเชื่อเธอเจษฏา” หนุ่มใหญ่พูดกลับไป พร้อมๆ กับเสียงอุทานดังลั่นเข้ามาตามสาย
“โหยย! คุณอรรถขา เจนี่ขอร้อง อย่าเรียกชื่อเต็มเลยนะคะ แบบว่าแอบปวดใจเบาๆ ค่ะ” ชายใจหญิงร้องขอ
“จะพยายามแล้วกัน ถ้าพรุ่งนี้น้ำหวานไม่มีไข้ฉันจะอนุญาตให้ไปเรียน”
“โอเคค่ะ ฝากดูแลเพื่อนเจนี่ด้วยนะคะคุณอรรถสุดหล่อ บ๊ายบายค่า” ชายใจหญิงกล่าวคำลาพร้อมกับกดวางสายไป
“แน่ใจว่านะว่าเธอกับเพื่อนไม่มีอะไรปิดบังฉัน” คนชอบจับผิดถามหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง
“เจษก็บอกคุณอรรถแล้วไม่ใช่หรือคะ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาติดจะงอนๆ ตั้งแต่ถูกแย่งมือถือไปดื้อๆ
“ที่ฉันทำเพราะเป็นห่วงเธอนะน้ำหวาน เธอยังเด็กแบบนี้จะไปตามใครทัน” ดูเขาพูดเข้าสิ เธอโตจนเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้วยังมองว่าเป็นเด็กในสายตาอีก
“รวมถึงคุณอรรถด้วยหรือเปล่าคะ?” สาวเจ้าย้อนเข้าให้
“ยกเว้นฉันไว้คนหนึ่งแล้วกัน เพราะฉันจะไม่ทำร้ายเธอ” ไม่พูดเปล่า ดวงตาคมกริบยังจ้องมองมาเป็นการยืนยันในคำพูดของตนจนคนถามเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ด้วยการหลบตา แล้วรีบล้มตัวลงนอนคลุมโปง ปล่อยให้หนุ่มใหญ่ได้แต่มองการกระทำดังกล่าว ริมฝีปากหยักยกยิ้มมุมปาก เด็กหนอเด็ก พอเถียงไม่ออกก็คลุมโปงหนี แล้วยังกล้าเถียงอีกว่าตัวเองโตแล้ว เขาคิดก่อนจะหยิบอุปกรณ์เช็ดตัวให้คนป่วยไปเก็บปล่อยให้เธอได้นอนพักผ่อนเต็มที่
