บทที่ 9 ดอกบัวแห่งมู (3/3)
“ข่าวร้ายก่อนดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ ข้าขอทำใจก่อน”
“ข่าวร้ายก็คือมหานครมูแห่งนี้ที่บรรพบุรุษของเราสร้างขึ้นหลังจากทวีปมูของพวกเราถล่มจมลงสู่ก้นมหาสมุทรจากมหันตภัยเมื่อหนึ่งหมื่นสามพันปีก่อนนั้น นับจากเวลานี้ไปอีกสามสิบปีข้างหน้า พลังของเทพอะโพฟิสที่ถูกองค์รามูและองค์ราชินีจองจำไว้ จะเล็ดลอดออกมา สุริยันแห่งมูและข้าไม่มีพลังเพียงพอที่จะตรวจจับและสกัดกั้นเอาไว้ได้ พวกเราจะต้องพบเจอมหันตภัยนั้นอีกครั้ง”
“แม้จะไม่ร้ายแรงเท่าครั้งนั้น แต่มหานครมูของพวกเราจะได้รับความเสียหายไม่น้อย คนของพวกเราต้องล้มตายอีกมาก มนุษย์เหนือผืนน้ำก็ต้องประสบชะตากรรมเช่นกัน แต่ผืนดินของพวกเขาจะไม่เจอภัยร้ายแรงเท่ากับพวกเรา หนักหนาที่สุดที่พวกเขาต้องเจอคือคลื่นสึนามิในหลายพื้นที่”
“ร้ายแรงถึงเพียงนั้น?” โอเชียถามด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ
“ใช่ หากครั้งนั้น องค์รามูเซเนียสไม่เสียทีจนร่วงหล่นในหลุมพรางของเทพอะโพฟิส ศีลธรรมของชาวมูเราตกต่ำจนเกินเยียวยา แผ่นดินของพวกเราย่อมไม่ล่มสลาย”
“โชคดีที่องค์ราชินีฮานิเอลออกจากการฝึกฝนในปิรามิดแก้วมาช่วยองค์รามูทัน ทว่าทวีปมูกลับถึงกาลพินาศ องค์รามูและองค์ราชินีจึงต้องสละตนเอง องค์ราชินีต้องสลายร่างเพื่อให้พลังของพระนางหลอมรวมกับสุริยันแห่งมู นำพาผู้คนที่ถูกสุริยันแห่งมูเลือกสรรไว้หลบหนีลงสู่พื้นสมุทรที่ลึกที่สุดนี้ และองค์รามูต้องสลายร่างอีกคนเพื่อจองจำเทพอะโพฟิสไว้ พวกเราจึงอยู่มาได้อย่างสงบสุขถึงหนึ่งหมื่นสามพันปี”
นี่เองคือสาเหตุแท้จริงที่ทวีปมูล่มสลาย ทั้งยังบอกชัดว่าทวีปมูมีอยู่จริง เพียงแต่การล่มสลายที่แทบไม่เหลือร่องรอยใดกลางมหาสมุทรในช่วงเวลาที่โลกยังไร้ซึ่งวิทยาการอันทันสมัยและกาลเวลาที่ผ่านมานานเกินไป ยิ่งทำให้หลักฐานและร่องรอยต่างๆ เกี่ยวกับทวีปมูที่มีอยู่น้อยนิดแทบสูญหายเกือบหมดสิ้น ที่หลงเหลือไว้บนผืนโลก นอกจากไม่เพียงพอที่จะยืนยันถึงตัวตนของทวีปมู แต่ยังกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ผู้คนไม่เชื่อถือ ผู้คนไม่เชื่อว่ามู ทวีปแห่งมารดร มหาทวีปอันยิ่งใหญ่นี้มีอยู่จริง !
“แล้วทำไมพลังของเทพอะโพฟิสจึงเล็ดลอดออกมาจนจะทำให้เกิดเหตุร้ายกับพวกเราอีกพ่ะย่ะค่ะ” โอเชียถามอย่างไม่อาจทำความเข้าใจได้
“เพราะโลกแห่งนี้ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติอีกครั้ง และเทพอะโพฟิสคือเทพแห่งความโกลาหล เจ้าเองก็เห็นแล้วนี่ว่าที่ผ่านมาแผ่นดินของผู้คนเหนือผืนน้ำต้องประสบกับภัยธรรมชาติมากมายเพียงใด นั่นเพราะโลกกำลังใกล้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เพียงแต่พวกเขาพบเจอมันก่อนพวกเรา แต่พวกเราแม้พบเจอทีหลังหากร้ายแรงยิ่งกว่า แต่นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราต้องพบเจอภัยร้ายเช่นนี้ หากผ่านไปได้ พวกเราและคนเบื้องบนนั้นจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายหมื่นปีเช่นเดียวกับช่วงเวลาก่อนที่ทวีปมูของพวกเราจะถูกทำลาย”
โอเชียถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะถามต่อ “แล้วข่าวดีล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข่าวดีมีสองข่าว ข่าวแรกคือธีออน ลูกชายของข้าที่สืบทอดพลังเทวะขององค์รามูเซเนียสจากสุริยันแห่งมู เวลานี้เขาใช้พลังนั้นได้แล้วกึ่งหนึ่ง”
“กึ่งหนึ่ง !” โอเชียอุทานอย่างแตกตื่น
“องค์ชายธีออนเพิ่งอายุสิบปี ฝึกฝนจนสามารถใช้พลังนี้ได้ถึงกึ่งหนึ่ง นับว่ายอดเยี่ยมกว่าองค์รามูเซเนียสไปมาก เพราะองค์รามูในวัยเดียวกันเพิ่งใช้ได้เพียงสี่ในสิบส่วนเท่านั้น เช่นนี้อีกไม่นานองค์ชายย่อมใช้ได้เก้าในสิบส่วน เพียงพอที่จะใช้สุริยันแห่งมูช่วยเหลือมหานครมูต้านรับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นได้”
“ไม่ง่ายถึงเพียงนั้นหรอก โอเชีย ธีออนจะใช้ได้ถึงเก้าในสิบส่วนภายในสามสิบปีข้างหน้าหรือไม่ ยังบอกได้ยาก เจ้าก็รู้นี่ว่าพลังของราชินีฮานิเอลเหลือเพียงบางเบาเท่านั้นในสุริยันแห่งมูทันทีที่พวกเราสร้างมหาปิรามิดแห่งมูเสร็จ พลังอันมหาศาลที่หมุนเวียนอยู่ตอนนี้ แท้จริงมีเพียงพลังเทวะขององค์รามูเซเนียสบางส่วนและพลังของสุริยันแห่งมูเท่านั้น”
“ข่าวดีที่สองคือ ‘ดอกบัวแห่งมู’ หากธีออนหา ‘ดอกบัวแห่งมู’ พบ นอกจากเขาจะใช้ได้ถึงเก้าในสิบส่วนแล้ว ดอกบัวแห่งมูนั้นจะก่อให้เกิดพลังเทพธิดาของราชินีฮานิเอลประสานรวมกับพลังเทวะของธีออนและสุริยันแห่งมู และนั่นจะทำให้มหานครมูรอดจากภัยพิบัติครั้งนี้ และยังทำให้ภัยพิบัติที่ผู้คนเหนือผืนน้ำต้องเผชิญลดความรุนแรงลงได้”
“ดอกบัวแห่งมู? คืออะไรพ่ะย่ะค่ะ” โอเชียงุนงงอย่างยิ่ง
“ดอกบัวแห่งมูคือสตรีที่มีพลังอันบริสุทธิ์ในร่าง พลังอันบริสุทธิ์นี้ ข้าก็บอกไม่ได้ว่าคือพลังเช่นใด สุริยันแห่งมูไม่เปิดเผยให้ข้ารู้มากกว่านี้”
“แล้วมีสิ่งใดที่จะทำให้รู้ว่าสตรีนางนั้นคือดอกบัวแห่งมูพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มี สุริยันแห่งมูบอกข้าเพียงว่าดอกบัวแห่งมูใกล้จะถือกำเนิดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้ว ดอกบัวนี้ถือกำเนิดทางทิศใต้ของมหานครมูเรา เหนือผืนน้ำอันกว้างใหญ่นี้ เมื่อใดที่พบเจอนาง ธีออนจะรู้ได้ทันทีว่านางคือดอกบัวแห่งมู”
“ทิศใต้? ...มีหลายประเทศนัก กว่าจะค้นหานางพบในแต่ละประเทศ ต้องใช้เวลาไม่น้อย แต่ก็ยังดีกว่าต้องค้นหาไปทั่วโลก คงต้องรอให้องค์ชายอายุสักยี่สิบปีแล้วข้าค่อยพาองค์ชายขึ้นไปข้างบน ไปเรียนรู้โลกภายนอกนั้นพร้อมกับค้นหาดอกบัวแห่งมูไปด้วย แล้วองค์ชายต้องได้พบตัวนางเท่านั้นหรือพ่ะย่ะค่ะจึงจะทราบว่านางคือดอกบัวแห่งมู”
“ใช่ ต้องพบตัวนางเท่านั้น แม้จะเห็นเพียงรูปก็ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าเป็นนาง”
