บทที่ 8 ดอกบัวแห่งมู (2/3)
“ดีแล้ว เตรียมพร้อมไว้ก่อนจะได้ไม่ฉุกละหุก ไว้ใกล้ๆ บุษจะคลอด แม่จะบินไปนิวซีแลนด์ จะไปหาบุษกับเรนทร์ก่อนคลอดสักสองสามวันแล้วจะอยู่ช่วยบุษเลี้ยงยายหนูสักพัก แล้วก็ไม่ต้องห่วง วีซ่านิวซีแลนด์ของแม่อายุสิบปี นี่ก็เหลืออีกห้าปีถึงจะหมดอายุ พอบุษพร้อมแล้ว แม่ค่อยกลับเมืองไทย”
“ขอบคุณท่านแม่มากครับ แล้วท่านพ่อจะยอม?” หม่อมราชวงศ์อมเรนทร์ถามอย่างไม่แน่ใจ
“ไม่ยอมก็เรื่องของเขาสิ นี่หลานแม่ แม่จะมาอยู่เลี้ยงหลาน เรนทร์ก็อยู่ช่วยบุษเลี้ยงได้แค่สองสัปดาห์เองไม่ใช่รึ”
“ใช่ครับ ลาได้แค่สองสัปดาห์ ได้ท่านแม่มาช่วยเลี้ยง ผมก็สบายใจ อย่างน้อยก็อุ่นใจว่าบุษมีคนอยู่เป็นเพื่อน”
“ไม่ต้องห่วง แม่ช่วยบุษเลี้ยงเอง แค่แม่คนเดียว แกเลี้ยงได้มั้ยล่ะ”
“แหม ได้สิครับ แต่ท่านแม่ก็อย่าเสวยเยอะนักก็แล้วกัน เดี๋ยวผมไม่มีเงินเลี้ยงลูกกับเมีย” เขาตอบกลับอย่างอารมณ์ดี คำตอบนี้ทำให้หม่อมเจ้าภาวิดาต้องค้อนลูกชายอย่างหมั่นไส้
“แล้วนี่บุษกับเรนทร์ตั้งชื่อลูกว่าอย่างไร”
“บุษกับเรนทร์ชอบชื่อ ‘อมาริสา’ ค่ะ ขึ้นต้นด้วยตัว ‘อ’ เหมือนกับชื่อของเรนทร์ อ่านได้ทั้งชื่อไทยและอังกฤษ ถ้าเป็นอังกฤษก็สะกดว่า ‘Amarissa’ มีความหมายว่า ‘คำสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า’ บุษกับเรนทร์ตั้งชื่อเล่นยายหนูไว้แล้วว่า ‘Alice’ ก็ตัดมาจากชื่อจริงนั่นแหละค่ะ ชื่อนี้มีความหมายว่า ‘ชาติกำเนิดสูงส่ง’ ก็ตรงกับความฝันพอดีที่ว่ายายหนูเป็นนางฟ้ามาเกิดน่ะค่ะ”
“ตั้งชื่อดีมากเลยนะ อมาริสา หม่อมหลวงอมาริสา รณเรศ เพราะมากเลยทีเดียว ชื่อ ‘อลิซ’ ก็น่ารัก ทำให้แม่นึกถึง Alice in Wonderland เลย” หม่อมเจ้าภาวิดาออกปาก
“ไม่แน่นะคะ อลิซอาจจะได้ไปผจญภัยในแดนมหัศจรรย์ก็ได้” บุษลินตอบกลับอย่างชอบใจ หากเธอไม่รู้เลยว่าลูกสาวของเธอจะได้ไปผจญภัยในแดนมหัศจรรย์จริงๆ ในอนาคต
ณ ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา[3] ร่องลึกที่ได้ชื่อว่าลึกที่สุดในโลก แสงอาทิตย์ไม่สามารถสาดส่องไปถึง หากภายใต้ความมืดสนิทลึกล้ำอันสุดที่มนุษย์บนผืนโลกจะหยั่งได้ ปรากฏมหานครใต้สมุทรที่รุ่งเรืองด้วยอารยธรรมสูงล้ำเกินกว่าโลกปัจจุบันไปไกลลิบลับ มหานครอันกว้างใหญ่นี้อยู่ภายใต้โดมแก้วขนาดมหึมา เป็นดั่งโลกอันเอกเทศจากใต้ท้องน้ำ ภายในโดมแก้วนี้สว่างราวแสงอาทิตย์อันนุ่มนวลยามเช้าบนโลกเหนือผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของมหาสมุทรแปซิฟิก
มองเห็นชาวใต้สมุทรของมหานครแห่งนี้ที่อยู่นอกโดมแก้ว พวกเขาสามารถหายใจใต้น้ำได้อย่างน่าอัศจรรย์ พวกเขาสามารถแหวกว่ายสายน้ำได้ว่องไวรวดเร็วไม่ต่างจากสัตว์ต่างๆ ที่อาศัยในน้ำ รูปร่างหน้าตาของพวกเขาไม่ต่างจากมนุษย์บนผืนโลก สีผิว สีผม สีตา ล้วนหลากหลาย
ไกลออกไปที่ด้านหนึ่งของมหานครภายใต้โดมแก้วนั้น ปรากฏปิรามิดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งสร้างด้วยหินสีขาวสว่าง พื้นผิวของหินนั้นเต็มไปด้วยประกายระยิบระยับสีฟ้าและสีทอง
หากบนผืนโลกกล่าวขานว่าปิรามิดคูฟูหรือปิรามิดคีออปส์หรือมหาปิรามิดแห่งกีซา (The Great Pyramid of Giza) เป็นปิรามิดอียิปต์ที่ใหญ่โตที่สุดในโลก และยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ทั้งยังเป็นหนึ่งเดียวในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณที่คงอยู่มาจนถึงปัจจุบันแล้วล่ะก็ ปิรามิดขาวที่เบื้องหน้านี้ก็กินขาดปิรามิดแห่งกีซาไปทันที
เพราะปิรามิดแห่งกีซาสูง 147 เมตร (หรืออาคารสูง 42 ชั้น เมื่อคิดความสูงที่ชั้นละ 3.5 เมตร) ฐานทั้งสี่ด้านกว้างด้านละประมาณ 230 เมตร (กว้างกว่าสนามฟุตบอลต่อกัน 2 สนาม) คิดเป็นพื้นที่ฐานประมาณ 53,000 ตารางเมตรหรือราว 33 ไร่ ผิวหน้าแต่ละด้านของปิรามิดทำมุมเอียงประมาณ 52 องศา ทำให้ปิรามิดทนต่อการสึกกร่อนจากพายุทราย ด้านทั้งสี่ของปิรามิดหันออกในแนวทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ถูกต้องตามทิศจริงไม่ใช่ตามทิศเหนือแม่เหล็ก ทำให้ตำแหน่งของปิรามิดคลาดเคลื่อนจากทิศเหนือเพียง 3 ลิปดา 6 ฟิลิปดา หินตรงส่วนฐานของปิรามิดจัดวางเสมอกัน คลาดเคลื่อนไม่ถึง 2.5 เซนติเมตร ความกว้างแต่ละด้านของฐานปิรามิดคลาดเคลื่อนไม่เกิน 8 นิ้ว หรือ 0.09% ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดงานก่อสร้างและเทคโนโลยีในขณะนั้น
แต่ปิรามิดขาว ไม่สิ สมควรเรียกว่า ‘มหาปิรามิดขาว’ มหาปิรามิดแห่งนี้กลับสูงและใหญ่กว่าปิรามิดแห่งกีซาไปอีกเท่าตัว นั่นคือสูงถึง 300 เมตร ฐานทั้งสี่ด้านกว้างด้านละประมาณ 500 เมตร คิดเป็นพื้นที่ฐานประมาณ 250,000 ตารางเมตร ผิวหน้าแต่ละด้านของปิรามิดทำมุมเอียงประมาณ 52 องศา ด้านทั้งสี่ของปิรามิดหันออกในแนวทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ถูกต้องตามทิศจริง ตำแหน่งของปิรามิดไม่มีความคลาดเคลื่อน หินตรงส่วนฐานของปิรามิดจัดวางเสมอกัน ไม่มีความคลาดเคลื่อน ความกว้างแต่ละด้านของฐานปิรามิดก็ไม่คลาดเคลื่อน ทุกอย่างถูกต้องแม่นยำจนไม่น่าเชื่อ
มหาปิรามิดขาวแห่งนี้ทำให้ปิรามิดแห่งกีซาที่โลกยกย่องกลายเป็นเพียงปิรามิดจำลองของมันไปทันที ! !
แต่เหนืออื่นใดทั้งหมด ยอดปิรามิดนี้ปรากฏแสงสีขาวสว่างนวลที่สาดส่องไปทั้งมหานครอันกว้างใหญ่นี้ เท่ากับมหาปิรามิดนี้คือแหล่งพลังงานใหญ่ของทั้งมหานครใต้สมุทร
“องค์รามู ท่านพบเห็นสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ” ชายในชุดคล้ายนักบวชวัยราวสามสิบปลายถามออกมาเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีสีหน้าไม่สู้ดีหลังจากเฝ้ามองสุริยันแห่งมูที่เป็นดวงแสงขนาดมหึมาที่มีรัศมีความกว้างราวห้าร้อยเมตร ดวงแสงนี้ใสสว่างเย็นตาอย่างยิ่ง
หากคำเรียกขาน ‘องค์รามู’ ต้องสะดุดหูทันที สรรพนามนี้ไม่คุ้นหูผู้คนเหนือผิวน้ำแน่นอน
“ทั้งข่าวดีและข่าวร้าย เจ้าอยากฟังข่าวไหนก่อนล่ะ โอเชีย” ชายหนุ่มวัยราวสามสิบปลายเช่นกันถามกลับ
เชิงอรรถ
[3] ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา (Mariana Trench, Marianas Trench) เป็นชื่อธรณีวิทยาทางทะเลของร่องลึกก้นสมุทรที่ลึกที่สุดในโลก และเป็นจุดที่ต่ำที่สุดของเปลือกโลกเท่าที่ทราบกันในปัจจุบัน ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาอยู่ที่ก้นมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกเฉียงเหนือ และอยู่ในแนวตะวันออกและแนวใต้ของหมู่เกาะมาเรียนา ณ พิกัด 11° 21’ เหนือ และ 142° 12’ ตะวันออก ใกล้เกาะกวม
ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาเป็นแนวเขตที่แผ่นธรณีแปรสัณฐาน หรือที่เรียกว่า ‘Tectonic Plates’ สองแผ่นมาชนกัน ณ บริเวณเขตมุดตัวของเปลือกโลก (subduction zone) โดยแผ่นธรณีแปซิฟิกลอดลงไปใต้แผ่นธรณีมาเรียนา ก้นของร่องลึก ณ จุดนี้มีชื่อเรียกว่า ‘Challenger Deep’ อยู่ลึกกว่าความสูงของยอดเขาเอเวอเรสต์ที่อยู่บนแผ่นดิน ความลึกมากสุดของร่องที่วัดได้ ณ จุดนี้ ลึกมากถึง 10,911 เมตรจากระดับน้ำทะเล และหากวัดละติจูดและส่วนอ้วนจากแรงเหวี่ยงแถบเส้นศูนย์สูตร (equatorial bulge) จะได้ระยะของจุดลึกสุดของร่องได้ 6,366,400 เมตรจากจุดใจกลางของโลก ขณะที่มหาสมุทรอาร์กติกซึ่งมีความลึกมากที่สุดประมาณ 4,500 เมตร แต่เมื่อวัดพื้นผิวก้นมหาสมุทรถึงจุดใจกลางโลกกลับได้ระยะ 6,353,000 เมตร ใกล้จุดใจกลางโลกมากกว่าร่องลึกบาดาลมาเรียนาถึง 13 กิโลเมตร
