บทที่ 7 ดอกบัวแห่งมู (1/3)
หม่อมเจ้าภาวิดาวางมือบนศีรษะของบุตรชายและลูกสะใภ้อยู่ครู่หนึ่งก็ผลักออก “รีบไปเถอะ จะได้ไปเตรียมอะไรต่อมิอะไรให้เรียบร้อย พรุ่งนี้จะได้เดินทางสะดวก”
“ครับ/ค่ะ”
หม่อมเจ้าอิศเรศรกลับมาจากตีกอล์ฟก็ตรัสอะไรไม่ออกเมื่อทราบว่าบุตรชายพาลูกสะใภ้ที่ไม่ต้องการไปนอนค้างบ้านเพื่อน และยิ่งกริ้วหนักเมื่อทราบว่าพวกเขาทั้งสองบินกลับไปบ่ายวันรุ่งขึ้น
ใช้เวลาราวสามเดือน ทุกอย่างจึงเสร็จเรียบร้อย หม่อมราชวงศ์อมเรนทร์พาบุษลินที่ท้องได้ห้าเดือนแล้วบินมาที่นิวซีแลนด์ทันที อเล็กซ์ เพื่อนชาวนิวซีแลนด์ของบดินทร์ต้อนรับสองสามีภรรยาอย่างดี เขาจัดให้หม่อมราชวงศ์อมเรนทร์และบุษลินพักบ้านหลังเดียวกับเขาไปก่อนชั่วคราวจนกว่าจะซื้อบ้านได้
ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน หม่อมราชวงศ์อมเรนทร์และบุษลินจึงซื้อบ้านขนาดสี่ห้องนอนได้หลังหนึ่งในราคา 372,000 ดอลลาร์นิวซีแลนด์หรือเกือบ 9 ล้านบาท เงินที่หม่อมเจ้าภาวิดาให้มาทำให้สามารถซื้อบ้านหลังนี้ได้ บ้านหลังนี้ตกแต่งเรียบๆ ดูสบายตา อยู่ไม่ไกลจากชายหาดและอยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ตของอเล็กซ์ พวกเขาเลือกบ้านขนาดสี่ห้องนอนเพราะหนึ่งห้องนอนสำหรับพวกเขา อีกหนึ่งห้องนอนสำหรับลูกน้อยที่ใกล้จะลืมตาดูโลก ที่เหลืออีกสองห้องจะได้ต้อนรับเพื่อนฝูงและคนรู้จักที่อาจจะแวะมาเที่ยวและพักที่เมืองไคคูร่า
หม่อมราชวงศ์อมเรนทร์ซื้อรถ SUV คันหนึ่งราคาไม่เกิน 50,000 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ เพื่อไว้ขับไปทำงานและพาครอบครัวไปท่องเที่ยวและพักผ่อน หักเงินซื้อบ้านและรถแล้ว เขายังมีเงินเหลือจากที่มารดาให้มาอีกราวห้าล้านบาท บวกกับเงินเก็บทั้งของเขาและภรรยา ทำให้พวกเขายังมีเงินสดเกือบเจ็ดล้านบาท เรียกว่ายังเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้
“พ่อเราเขาโกรธเรนทร์จะเป็นจะตาย ประกาศตัดพ่อตัดลูกและจะไม่ให้ใช้นามสกุล ‘รณเรศ’ แม่เลยบอกไม่ให้ใช้ก็ไม่เป็นไร ใช้นามสกุลเดิม ‘หริรักษ์’ ของแม่ก็ได้ หลานแม่จะได้ใช้นามสกุลแม่ไปด้วย เท่านั้นล่ะ เงียบไปเลย” เสียงของหม่อมเจ้าภาวิดาเล่ามาอย่างขบขันเมื่อหม่อมราชวงศ์อมเรนทร์โทรมาบอกว่าย้ายเข้าบ้านใหม่เรียบร้อยแล้ว
บุษลินที่ได้ฟังด้วยก็นั่งอมยิ้ม เพราะสามีเปิด Video Call ให้เธอได้พูดคุยด้วย
“บุษเป็นไงบ้างลูก แพ้ท้องอะไรมากมั้ย” หม่อมเจ้าภาวิดาถามอย่างเป็นห่วง
“แพ้ไม่มากค่ะท่านแม่ สงสัยลูกจะรู้ว่าพ่อกับแม่กำลังวุ่นๆ เรื่องบ้านกับรถ ลืมบอกท่านแม่ว่าลูกของบุษกับเรนทร์เป็นผู้หญิงนะคะ ท่านแม่ได้หลานสาว”
“หลานสาว? ก็ดีน่ะสิ สายสกุลทางพ่อกับแม่น่ะมีแต่ลูกชายมาตลอด อยากได้ลูกสาวกันจะตาย เพิ่งจะมีเรนทร์นี่แหละที่จะได้ลูกสาว” หม่อมเจ้าภาวิดาบอกอย่างดีใจ
“ท่านแม่คะ บุษฝันแปลกๆ ด้วยค่ะก่อนจะรู้เพศของลูก แต่พอดียุ่งๆ เลยลืมเล่าให้ท่านแม่ฟัง”
“ฝันว่าไง เล่าให้แม่ฟัง”
“บุษฝันคืนก่อนวันจะไปอัลตร้าซาวด์ดูเพศค่ะ บุษฝันว่าบุษอยู่ในป่าที่ไหนสักแห่ง ป่านั้นสวยจริงๆ ต้นไม้ ดอกไม้ มีสีสันสวยงามและมีกลิ่นหอมมากๆ บุษกำลังมองเพลินๆ ก็เห็นพระภิกษุรูปหนึ่ง ท่านปักกลดอยู่ที่โคนต้นไม้ใหญ่ สมณสารูปงดงามจริงๆ บุษไม่เคยเห็นพระภิกษุรูปไหนจะงดงามบริบูรณ์อย่างนี้มาก่อน ได้เห็นท่านแล้วก็ปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ อิ่มอกอิ่มใจไปหมด”
“พอเห็นท่าน บุษจึงเดินเข้าไปกราบนมัสการ แล้วบุษอยากถวายของทำบุญแต่ตอนนั้นบุษไม่มีอะไรเลย ที่ติดตัวไปมีสร้อยทองคำขาวที่ห้อยจี้เพชร เป็นจี้ที่เรนทร์ซื้อให้ตอนครบรอบหนึ่งปีที่แต่งงานกัน บุษเลยถอดสร้อยนั้นแล้วถวายสร้อยและจี้ให้ท่านไป บอกกับท่านว่าฝากให้ท่านมอบให้กับคนที่ลำบาก เขาจะได้เอาไปขายได้เงินมาจุนเจือครอบครัว”
“แล้วบุษไม่เสียดายเลยหรือลูก นั่นเป็นของที่ระลึกครบรอบแต่งงานนะ” หม่อมเจ้าภาวิดาถาม
“ไม่เสียดายเลยค่ะ ในใจตอนนั้นรู้สึกอยากทำบุญกับพระภิกษุรูปนั้นมาก ตอนถอดสร้อยออกมา บุษไม่ลังเลเลยจริงๆ ค่ะ เกรงแต่เพียงว่าท่านจะไม่รับไว้เพราะเป็นของมีราคา พอท่านรับ บุษก็ปลื้มจนน้ำตาคลอเลย”
“หลังจากท่านรับไว้ ท่านยื่นดอกบัวให้ดอกหนึ่ง เป็นดอกบัวที่สวยมาก บุษคิดว่าดอกบัวนั้นเป็นบัวจงกลนี[1] สีชมพูอ่อนสวยหวาน ทอแสงสว่างเย็นตา กลิ่นหอมอ่อนๆ แต่ก็หอมเหลือเกิน ดมได้ไม่รู้เบื่อเลย...” บุษลินเล่าออกมาคล้ายยังฝันถึงดอกบัวนั้นอยู่
“...ท่านพูดกับบุษว่า ‘ดอกบัวแห่งนิมมานรดี[2]นี้ต้องลงมาอยู่ในมนุสสภูมิระยะเวลาหนึ่ง ดูแลให้ดีนะ ดอกบัวนี้จะเป็นคุณแก่สีกาและสามีของสีกา เอาดอกบัวนี้วางไว้บนครรภ์ของสีกาสิ เขาอยากไปอยู่กับสีกานะ’ บุษก็ทำตามที่ท่านบอก พอวางดอกบัวลงไป ดอกบัวก็กลายเป็นละอองแสงสีทองสว่างเข้าไปในท้องของบุษค่ะ”
“เช้าตื่นขึ้นมา บุษเล่าให้เรนทร์ฟัง เรนทร์ยังว่าบุษคงอยากได้ลูกสาวมาก ถึงได้ฝันเป็นตุเป็นตะขนาดนี้ แล้วพอวันนั้นไปอัลตร้าซาวด์ เด็กในท้องก็เป็นผู้หญิงจริงๆ”
“บุษฝันดีมากเลยนะ หลานสาวแม่ต้องเป็นนางฟ้ามาเกิดแน่ๆ” หม่อมเจ้าภาวิดากล่าวอย่างตื่นเต้น
“บุษหมั่นสวดมนต์ ทำบุญ ไหว้พระ รักษาศีล ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากและคนที่ลำบากให้สม่ำเสมอนะลูก หากยายหนูเป็นนางฟ้ามาเกิดจริงๆ จะได้ช่วยให้ยายหนูสมบูรณ์พร้อม”
“ค่ะท่านแม่ บุษทำเป็นประจำตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ พอมาอยู่ต่างประเทศก็ยังทำตลอด”
“ดีๆ ลูก อีกสามเดือนบุษจะคลอดแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะ ข้าวของทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ท่านแม่ไม่ต้องห่วงค่ะ เรนทร์เห่อลูกหนักมาก เตรียมของไว้ให้ลูกเต็มที่ เห็นบอกว่าจะไว้หนวดด้วยเพราะกำลังจะมีลูกสาว ทำอย่างกับคลอดออกมาแล้วลูกเป็นสาวเลย” บุษลินค่อนขอดสามีอย่างมีความสุข
เชิงอรรถ
[1] บัวจงกลนี (Jongkolnee) เป็นบัวไทยแท้แต่โบราณ มีการกล่าวถึงดอกบัวชนิดนี้มาแต่เริ่มต้นของการเป็นประเทศไทยคือหลังจากมีการประดิษฐ์อักษรไทยไม่นานในไตรภูมิพระร่วง หลังจากนั้นมีการกล่าวถึงจงกลนีอีกหลายครั้งในวรรณคดีไทยและเป็นดอกไม้ประจำของนางสงกรานต์ ในตำราแพทย์แผนไทยก็มีการใช้จงกลนีเป็นยาด้วย แต่ในทางสากลไม่มีการกล่าวถึงในการจำแนกชนิดของบัวในโลกนี้ เนื่องจากสมัยที่ชาติตะวันตกแสวงหาอาณานิคม ไทยเป็นประเทศเดียวที่รอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้น ดังนั้น จงกลนีจึงเป็นบัวชนิดเดียวที่ตกสำรวจในการไล่ล่าทรัพยากรของประเทศอาณานิคม
จงกลนีเป็นบัวเฉพาะถิ่นพบได้เฉพาะในไทยแห่งเดียวในโลก และจัดเป็นพืชที่อยู่ในภาวะอนุรักษ์เพราะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ขณะนี้ไม่พบบัวจงกลนีในแหล่งน้ำธรรมชาติ จะพบได้ก็แต่ในกลุ่มผู้ปลูกบัวเท่านั้น
จงกลนีมีเอกลักษณ์โดดเด่นผิดไปจากบัวทั้งหลายในโลกคือ เป็นบัวที่มีกลีบซ้อนมาก มีจำนวนกลีบมากที่สุด ดอกเมื่อบานแล้วจะไม่หุบ จึงเป็นบัวชนิดเดียวที่บานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน มีสีชมพูอ่อน ดูคล้ายดอกกุหลาบ และไม่สามารถขยายพันธุ์โดยการอาศัยเพศได้ จึงทำให้การกระจายพันธุ์ในธรรมชาติเป็นไปได้น้อยมาก เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ แต่จงกลนีสามารถขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศหรือสร้างหัวได้ หากมีการดูแลรักษาที่ดีและรู้จักวิธีขยายพันธุ์
[2] สวรรค์ในความเชื่อทางพระพุทธศาสนา แปลว่า ภูมิหรือดินแดนที่มีอารมณ์เลิศด้วยดี จำแนกได้ 6 ชั้น คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตดี
สวรรค์ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นโลกที่อยู่อาศัยของกายละเอียดอันเป็นทิพย์ ที่มีรัศมีสว่างไสวรอบกายตลอดเวลา เหตุที่ทำให้มาเกิดเป็นเทวดาเพราะได้ สร้างบุญกุศลไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่ออุบัติขึ้นก็ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวทันที งดงามตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลาจุติ ไม่มีความแก่บังเกิดขึ้นเหมือนในเมืองมนุษย์ วิมานปราสาทคือที่อยู่อาศัยของเทวดา ล้วนมีความวิจิตรงดงาม มีขนาดแตกต่างกัน มีความเป็นอยู่สะดวกสบาย มีอาหารทิพย์บังเกิดขึ้น มีบริวารคอยรับใช้ใกล้ชิด เสื้อผ้าเป็นทิพย์ วิจิตรงดงาม บังเกิดขึ้นให้สวมใส่ กิจกรรมแต่ละวันก็มีการเที่ยวเพลิดเพลินบันเทิงอยู่กับการชมสวน การสังสรรค์กันระหว่างทวยเทพทั้งหลาย ส่วนจะอุบัติขึ้น ณ สวรรค์ชั้นไหน เป็นเทวดาประเภทใด และอยู่ในฐานะอะไร ก็ขึ้นอยู่กับบุญที่ตัวเองสั่งสมมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ซึ่งได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 37 เรื่อง ทานสูตร สรุปย่อได้ดังนี้
1.จาตุมหาราชิกา มีจากหลายสาเหตุ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญไม่ค่อยเป็น ไม่รู้หลักการทำบุญและไม่ค่อยได้สั่งสม บุญ นานๆ ทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อยหรือทำบุญเอาคุณ บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า เมื่อละโลก ใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาสิเนรุ สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นและมีบางส่วนที่มีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ ที่ได้ชื่อสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เพราะมีเทพผู้เป็นใหญ่ครองสวรรค์ชั้นนี้อยู่ 4 ท่าน คือ ท้าวธตรฐ ปกครองคนธรรพ์ วิทยาธร (พิทยาธร) และกุมภัณฑ์ ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ ท้าววิรูปักษ์ ปกครองนาค ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองยักษ์
จาตุมหาราชิกา โดยศัพท์แปลว่า "แห่งมหาราชทั้งสี่" เมื่อแปลแบบเอาความจึงหมายถึง "แดนเป็นที่อยู่ของท้าวมหาราชทั้งสี่" หรือ "อาณาจักรของท้าวมหาราช 4 องค์" กล่าวคือ สวรรค์ชั้นนี้เป็นดินแดนที่จอมเทพ 4 องค์ผู้รักษาคุ้มครองโลกใน 4 ทิศ ซึ่งเรียกว่า ท้าวโลกบาล ท้าวจตุโลกบาล หรือ ท้าวจาตุมหาราช ปกครองอยู่องค์ละทิศ
เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกามีอายุ 500 ปีทิพย์ (30 วันเป็น 1 เดือน 12 เดือนเป็น 1 ปี) โดย 1 วันและ 1 คืนของสวรรค์ชั้นนี้ เท่ากับ 50 ปีของโลกมนุษย์ คำนวณเป็นปีโลกมนุษย์ได้ 9,000,000 ปีโลกมนุษย์
2. ดาวดึงส์ คือเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม เป็นสิ่งที่ควรทำ กระทำแล้วก็สั่งสมบุญ สั่งสมเทวธรรม มีหิริ โอตตัปปะด้วย เมื่อละโลกก็จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตัดของเขาพระสิเนรุที่ชื่อว่า ดาวดึงส์ เพราะเป็นที่อยู่ของเทพผู้ปกครองภพถึง 33 องค์ โดยมีสมเด็จอมรินทราธิราชหรือพระอินทร์เป็นประธาน และที่สำคัญมีพระธาตุจุฬามณี ซึ่งทุกวันพระเทวดาจะมาประชุมกันที่สุธรรมาเทวสภา เพื่อรับฟังโอวาทจากท้าวสักกะ
สวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่สูงขึ้นไปถัดจากสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา 336,000,000 วา หรือ 168,000 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุอันสูง 80,000 โยชน์ ซึ่งเป็นจุดสูงที่สุดที่ยังเชื่อมอยู่กับมนุสสภูมิหรือโลกมนุษย์ (อาจเทียบได้กับยอดเขาโอลิมปัสในตำนานเทพปกรณัมกรีก) อาณาบริเวณโดยรอบ 80,000 ตารางโยชน์ มีท้าวสักกะหรือพระอินทร์เป็นผู้ปกครอง
เมืองบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นเมืองใหญ่ที่สร้างอย่างงดงามด้วยทองและแก้ว 7 ประการ มีเสียงดนตรีบรรเลงอย่างไพเราะ กลางเมืองดาวดึงส์มีปราสาทใหญ่ที่งดงามเป็นที่ประดับของพระอินทร์ บนสวรรค์ชั้นนี้มีอุทยานที่งดงามมาก 4 แห่ง คือ
นันทวนุทยานหรือสวนนันทวัน (สวนที่รื่นรมย์) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในสวนด้านที่ใกล้กับตัวเมืองมีสระใหญ่ 2 สระ สระหนึ่งมีชื่อว่า สระนันทาโบกขรณี อีกสระหนึ่งมีชื่อว่า จุลนันทาโบกขรณี มีแผ่นศิลา 2 แผ่น แผ่นหนึ่งมีชื่อว่า นันทาปริถิปาสาณ อีกแผ่นหนึ่งมีชื่อว่า จุลนันทาปริถิปาสาณ เป็นศิลาที่มีรัศมีเรืองรอง เมื่อจับดูจะรู้สึกว่านิ่มเหมือนขนสัตว์
ผรุสกวันหรือปารุสกวัน (ป่าลิ้นจี่) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อุทยานนี้ด้านใกล้ตัวเมืองมีสระใหญ่ 2 สระ สระหนึ่งมีชื่อว่า ภัทราโบกขรณี อีกสระหนึ่งมีชื่อว่า สุภัทราโบกขรณี มีก้อนแก้วใส 2 ก้อน ก้อนหนึ่งมีชื่อว่า ภัทราปริถิปาสาณ อีกก้อนหนึ่งมีชื่อว่า สุภัทราปริถิปาสาณ เป็นแก้วเกลี้ยงและอ่อนนุ่ม
จิตรลดาวัน (ป่ามีเถาวัลย์หลากสีสวยงาม) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สระในอุทยานนี้มีชื่อว่า จิตรโบกขรณี และจุลจิตรโบกขรณี ส่วนแผ่นศิลาแก้วในอุทยานนี้แผ่นหนึ่งมีชื่อว่า จิตรปาสาณ อีกแผ่นหนึ่งมีชื่อว่า จุลจิตรปาสาณ
สักกวันหรือมิสกวัน (ป่าไม้ระคน) ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สระใหญ่ในอุทยานนี้มีชื่อว่า ธรรมาโบกขรณี และสุธรรมาโบกขรณี ส่วนแผ่นศิลาแก้วมีชื่อว่า ธรรมาปริถิปาสาณ และสุธรรมาปิริถิปาสาณ
3. ยามา คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะอยากจะสืบทอดและรักษาประเพณีแห่งความดีงามนั้นไว้ ทำนองว่าวงศ์ตระกูลสร้างสมความดีมาอย่างไร ก็อยากจะรักษาประเพณีไว้ หรือผู้หลักผู้ใหญ่สอนอย่างไร บรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำกันไปตามธรรมเนียม เมื่อละโลกแล้ว ส่วนใหญ่จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป
พระโคตมพุทธเจ้าตรัสถึงสวรรค์ชั้นยามาว่าอยู่สูงกว่าดาวดึงส์ แต่ต่ำกว่าดุสิต มีท้าวสุยามะเป็นจอมเทพ ไตรภูมิพระร่วงระบุว่าสวรรค์ชั้นยามาอยู่สูงกว่าดาวดึงส์ไป 84,000 โยชน์ เทวดาในชั้นนี้มีปราสาทแก้ว ปราสาททอง ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว มีสวน สระบัวสวยงาม เทวดามีกายสูง 8,000 วา เนื่องจากสวรรค์ชั้นนี้อยู่สูงมาก แสงอาทิตย์จึงส่องมาไม่ถึง แต่สวรรค์ชั้นนี้ก็ไม่เคยมืดเพราะมีรัศมีจากกายของเทวดาส่องให้ทั้งภูมินี้สว่างไสวอยู่ตลอดเวลา เมื่อจะกำหนดวันคืน เทวดาในชั้นนี้จะดูจากดอกไม้ทิพย์ หากดอกไม้บานแสดงว่าเป็นเวลารุ่งเช้า หากดอกไม้หุบเป็นเวลากลางคืน อายุของเทวดาในชั้นยามายาวนานถึง 2,000 ปีทิพย์ ซึ่งเท่ากับ 144,000,000 ปีมนุษย์
4. ดุสิต คือ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ทำบุญเพื่อปรารถนาสงเคราะห์โลก ปรารถนาให้ชาวโลกมีความสุข มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว เมื่อละโลกแล้วก็จะไปสวรรค์ชั้นนี้ซึ่งตั้งอยู่สูงถัดจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป
พระโคตมพุทธเจ้าตรัสถึงสวรรค์ชั้นดุสิตว่าอยู่สูงกว่ายามาแต่ต่ำกว่านิมมานรดี มีท้าวสันดุสิตเป็นจอมเทพ ไตรภูมิพระร่วงระบุว่าสวรรค์ชั้นนี้อยู่สูงกว่าชั้นยามาไป 168,000 โยชน์ มีปราสาทแก้ว ปราสาททอง ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว มีสวน สระบัวสวยงามยิ่งกว่าสวรรค์ชั้นที่อยู่ต่ำกว่า เป็นที่ประทับของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะพระโพธิสัตว์ที่กำลังจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป โดยมีพระศรีอริยเมตไตรยดำรงตำแหน่งเป็นท้าวสันดุสิตจอมเทพองค์ปัจจุบันของสวรรค์ชั้นนี้ อายุของเทวดาในชั้นดุสิตยาวนานถึง 4,000 ปีทิพย์ ซึ่งเท่ากับ 576,000,000 ของปีมนุษย์
5. นิมมานรดี คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ให้ทานโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่มีจิตใจผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานเพราะมีความสุขในการให้ ให้ทานด้วยคิดว่า "เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทานเช่นเดียวกับท่านฤๅษีทั้งหลายคือ ท่านอัฏฐกฤๅษี ท่าวามกฤๅษี ท่านวาม เทวฤๅษี ท่านเวสสามิตรฤๅษี ท่านยมทัคคฤๅษี ท่านอังคีรสฤๅษี ท่านภารทวาชฤๅษี ท่านวาเสฏฐฤๅษี ท่านกัสสปฤๅษี ท่านภคุฤๅษี" เขาผู้นั้นให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยาตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี
พระโคตมพุทธเจ้าตรัสถึงสวรรค์ชั้นนิมมานรดีว่าอยู่สูงกว่าชั้นดุสิตแต่ต่ำกว่าชั้นปรนิมมิตวสวัตดี มีท้าวสุนิมมิตเป็นจอมเทพ ไตรภูมิพระร่วงระบุว่าสวรรค์ชั้นนี้อยู่สูงกว่าชั้นดุสิตไป 336,000 โยชน์ มีวิมานทอง กำแพงแก้ว กำแพงทองล้อมรอบ แผ่นดินเป็นทองราบเรียบเสมอกันโดยตลอด เทวดาในชั้นนี้ปรารถนายินดีในสิ่งใดก็สามารถเนรมิตขึ้นมาได้เองตามปรารถนาทุกประการ จึงได้ชื่อว่า "นิมมานรดี" (ยินดีในการเนรมิต) อายุของเทวดาในชั้นนิมมานรดียาวนานถึง 8,000 ปีทิพย์ ซึ่งเท่ากับ 2,304,000,000 ของปีมนุษย์ นางวิสาขาก็มาอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้
6. ปรนิมมิตวสวัตดี คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญด้วยความเลื่อมใส เคารพในทาน ทำแล้วมีความรู้สึกปลื้มใจ ในบุญที่ทำนั้น เมื่อละโลกแล้วจะบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดีขึ้นไป
พระโคตมพุทธเจ้าตรัสถึงสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีว่าอยู่สูงกว่านิมมานรดีแต่ต่ำกว่าพรหมภูมิ มีท้าววสวัตดีเป็นจอมเทพเพียงพระองค์เดียว ไตรภูมิพระร่วงระบุว่าสวรรค์ชั้นนี้อยู่สูงกว่านิมมานรดีไป 672,000 โยชน์ และระบุต่างจากพระไตรปิฎกว่าสวรรค์ชั้นนี้มีจอมเทพสององค์คือ ท้าวปรนิมมิตวสวัตดีเทวราชและพญามาราธิราช หากว่าเทวดาในสวรรค์ชั้นนี้ปรารถนาสิ่งใดก็ไม่ต้องเนรมิตขึ้นเอง แต่จะมีเทวดาองค์อื่นมาเนรมิตให้ จึงได้ชื่อว่า "ปรนิมมิต" (ผู้อื่นเนรมิต) อายุของเทวดาในชั้นปรนิมมิตวสวัตดียาวนานถึง 16,000 ปีทิพย์ ซึ่งเท่ากับ 8,216,000 ปีมนุษย์
วันเวลาบนสวรรค์แต่ละชั้น เมื่อเปรียบเทียบวันเวลาในโลกมนุษย์
ชั้นจาตุมหาราชิกา 1 วันและ 1 คืนของสวรรค์ชั้นนี้ เท่ากับ 50 ปีของโลกมนุษย์
ชั้นดาวดึงส์ 1 วันและ 1 คืนของสวรรค์ชั้นนี้ เท่ากับ 100 ปีของโลกมนุษย์
ชั้นยามา 1 วันและ 1 คืนของสวรรค์ชั้นนี้ เท่ากับ 200 ปีของโลกมนุษย์
ชั้นดุสิตา 1 วันและ 1 คืนของสวรรค์ชั้นนี้ เท่ากับ 400 ปีของโลกมนุษย์
ชั้นนิมมานรดี 1 วันและ 1 คืนของสวรรค์ชั้นนี้ เท่ากับ 800 ปีของโลกมนุษย์
ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี 1 วันและ 1 คืนของสวรรค์ชั้นนี้ เท่ากับ 1,600 ปีของโลกมนุษย์
