บท
ตั้งค่า

บทที่ 26 ปฏิกิริยาตอบสนอง (2/3)

จารึกรองโกรองโก้มาจากไหน ใครเป็นผู้สร้าง และมันบันทึกเรื่องราวอะไรไว้ เรื่องนี้ยังคงติดค้างอยู่ในใจของนักโบราณคดีมานานกว่า 200 ปี นับจากครั้งแรกที่มีการค้นพบ

เกาะอีสเตอร์มีภูเขาไฟสามลูก เรียกตามภาษาพื้นเมืองว่า ราโน ราราคู (Rano Raraku) ราโน กาโอ (Rano Kao) และราโน อาโรย (Rano Aroi) ตัวเกาะยาว 21 กิลเมตรและกว้างเพียง 11 กิโลเมตร มันเป็นเกาะที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางมหาสมุทรแปซิฟิค เกาะที่ใกล้ที่สุดกับอีสเตอร์ชื่อ ‘ปิตการิน’ ก็อยู่ไกลออกไปทางทิศตะวันตกประมาณพันกิโลเมตร นอกนั้นก็มีแต่ทะเลกับทะเลรายรอบ อะไรที่ดลใจให้บรรพบุรุษแห่งเกาะอีสเตอร์มาตั้งรกรากบนเกาะที่แร้นแค้นและโดดเดี่ยวเช่นนี้?

สภาพภูมิศาสตร์บนเกาะก็ประหลาด นักสำรวจพบว่าบนเกาะไม่มีแหล่งน้ำจืด ไม่มีต้นน้ำลำธาร ลมทะเลยังหอบเอาความเค็มและเกลือจากมหาสมุทรมาเป็นระลอก ทำให้ต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่และพืชผลไม่สามารถเติบโตเป็นป่า เมื่อไม่มีป่าก็ไม่มีสัตว์ให้ล่า การกินอยู่ของชาวเกาะจึงแร้นแค้นยิ่ง

คาดเดาได้ว่าบรรพบุรุษของชาวเกาะที่มาตั้งรกรากในตอนแรกๆ ต้องลำบากมาก แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีประชากรเพิ่มมากขึ้น มีการพัฒนาภาษาเขียนเป็นของตัวเอง รู้จักสร้างถนนและวิศวกรรมโยธาอย่างง่าย มีการตั้งสถานบวงสรวงสำหรับสังเกตดวงอาทิตย์ และที่สำคัญคือพวกเขาสร้างโมอายขนาดยักษ์เหล่านี้ขึ้นมาถึงหกร้อยกว่าตัวได้อย่างไร

ประติมากรรมเหล่านี้ถูกนำมาวางเรียงรายยาวไปตามชายฝั่ง ส่วนที่เหลือเป็นจำนวนมากถูกนำไปตั้งเพื่อบอกความยาวและตำแหน่งของถนน งานประติมากรรมชิ้นที่ใหญ่ที่สุดนั้นสูงกว่า 10 เมตรและหนักถึง 80 ตัน รวมหมวกครอบหัวเข้าไปด้วยก็บวกเข้าไปอีก 12 ตัน หรือ 12,000 กิโลกรัม รูปที่เหลือก็ขนาดย่อมลงมาแต่ก็ใหญ่อยู่ดี

สิ่งที่ทำให้นักโบราณคดีท้อแท้ที่สุดคือชาวพื้นเมืองบนเกาะ พวกเขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับโมอาย ดูเหมือนว่าชาวพื้นเมืองบนเกาะเพิ่งอพยพมาตั้งรกรากได้ไม่นาน พวกเขาไม่สนใจโมอายเหล่านั้นเหมือนกับว่าต่างคนต่างอยู่ ผู้เฒ่าผู้แก่ของชาวพื้นเมืองเคยให้ข้อมูลกับนักโบราณคดีว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเคยเล่าว่าหินพวกนี้มันเดินขึ้นมาจากทะเล !

นักคิดนักเขียนหลายคนเชื่อกันว่า อีสเตอร์คือร่องรอยที่เหลืออยู่ของทวีปบางทวีปที่สูญหายไปแล้ว เนื่องจากอารยธรรมอันแปลกประหลาดของมัน รวมทั้งตำนานของมนุษย์ปักษีหรือมนุษย์นกที่เล่าขานกันในกลุ่มชนพื้นเมือง ยิ่งทำให้นักคิดนักเขียนหลายคนตีความไปถึงมนุษย์ต่างดาว

อ่านจบแล้ว อมาริสาต้องนึกทึ่ง แม้เรื่องราวจะดูไม่ค่อยมีหลักฐานอะไรยืนยันว่าจะเป็นเรื่องจริง และยังดูจะเป็นเรื่องเล่าเสียมากกว่า แต่ในใจเธอลึกๆ แล้ว อมาริสาเชื่อว่ามันมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นจริง ขอแค่เพียงมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากพอมายืนยัน ก็จะบอกได้อย่างชัดเจนว่ามู ทวีปแห่งมารดรนี้มีจริง แต่หลักฐานที่ว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหนล่ะ

สิ่งที่อมาริสาเห็นด้วยที่สุดคือ ที่ไฮริช ฮัคเกิล นักวิชาการชาวเยอรมัน เรียก ‘มูหรือเลมูเรีย’ ว่า ‘สรวงสวรรค์’ เพราะในฝันของเธอนั้น มหานครแห่งมูงดงามจริงๆ อาคารบ้านช่องแม้จะมีรูปทรงแปลกตาหากก็สวยแปลกจนติดตาติดใจเธอ มันดูมีเสน่ห์แบบโบราณแต่ก็ดูทันสมัยไปพร้อมกัน พืชพรรณที่พบเห็น เธอมั่นใจว่าด้วยสายตาของผู้เชี่ยวชาญด้านทะเลและสัตว์ทะเลอย่างเธอแล้ว พืชเหล่านั้นเป็นพืชน้ำที่เธอไม่รู้จักมาก่อนและยังเป็นพืชที่มีสีสันและรูปทรงสวยงาม บางต้นคล้ายกับพืชบนบกด้วยซ้ำ

ณ งานเลี้ยง Peace Wing ที่โรงแรม Summer Shore Auckland โรงแรมระดับห้าดาวที่ดีที่สุดของเมืองอ๊อคแลนด์

“...เพื่อส่งเสริมการใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติให้เป็นไปอย่างเหมาะสม กองทุน Lotus Creek จะยังคงให้การสนับสนุนโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสัตว์น้ำในทุกน่านน้ำตลอดไป และขอขอบคุณผู้มีจิตเมตตาที่ช่วยกันบริจาคให้กับโครงการนี้ กองทุน Lotus Creek ขอบคุณทุกท่านมากครับ”

ธีออนกล่าวจบก็ก้มศีรษะให้เพื่อแสดงความขอบคุณทุกคน เสียงชัตเตอร์จากกล้องถ่ายรูปนับร้อยรัวขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่งานเลี้ยง Peace Wing เปิดตัวเจ้าของกองทุน Lotus Creek ที่สนับสนุนโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสัตว์น้ำในทะเลทั่วโลกออกมา

ที่ผ่านมา ผู้ที่ออกหน้ามาตลอดสิบกว่าปีคือ โอเชีย แกรนด์สตรีม ซึ่งทุกคนเข้าใจว่าเขาคือเจ้าของกองทุน Lotus Creek กองทุนที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยมูลค่าสูงถึง 8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในจำนวนนี้เป็นการบริหารทรัพย์สินของตระกูลแกรนด์สตรีมถึงสี่ล้านล้านเหรียญ มากเสียยิ่งกว่างบประมาณของสหรัฐอเมริกาในแต่ละปี ที่เหลืออีกครึ่งจึงเป็นการรับบริหารให้กับมหาเศรษฐีรายอื่น

ตระกูลแกรนด์สตรีมเน้นการลงทุนในทรัพย์สินที่เกี่ยวกับทางน้ำในทุกประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ ที่น่าประหลาดคือทุกการลงทุนของกองทุน Lotus Creek ล้วนสร้างผลกำไรอันงดงามตลอดมา กองทุนยังบริจาคเงินช่วยเหลือทุกครั้งที่เกิดมหันตภัยตามแนวชายฝั่งของทุกประเทศ เป็นกองทุนที่ทุกประเทศให้การยกย่อง

สัญลักษณ์ของกองทุนเป็นรูปดอกไม้ที่มีหลายกลีบ กองทุน Lotus Creek เรียกมันว่า ‘ดอกบัว’ หากพนักงานในกองทุนก็ไม่เคยมีใครเห็นดอกบัวของจริงที่เป็นสัญลักษณ์ของกองทุน ทุกคนเข้าใจว่านี่เป็นเพียงตราสัญลักษณ์เหมือนเช่นกองทุนอื่นๆ และแน่นอนว่าสัญลักษณ์นี้มีลักษณะเดียวกับจี้ที่อยู่ที่สร้อยคอของธีออน แกรนด์สตรีม หากแต่ไม่มีใครเคยเห็นจี้ห้อยคอนี้ของเขา

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel