บทที่ 25 ปฏิกิริยาตอบสนอง (1/3)
นักวิชาการพบว่าลิงเลมูร์นี้อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากบนเกาะมาดากัสก้า ที่อยู่ห่างออกไปทางทิศใต้ของทวีปแอฟริกา และมีอยู่อีกเล็กน้อยที่กระจัดกระจายอยู่ในอินเดียและมาเลเซีย จุดนี้เองทำให้นักวิชาการสันนิษฐานว่าในอดีตน่าจะมีเกาะแห่งหนึ่งตั้งอยู่ และน่าจะเป็นเกาะที่เชื่อมดินแดนทั้งสองแห่งนี้เข้าด้วยกัน
ฟิลลิปป์ สคาเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษเป็นคนแรกที่ตั้งสมมติฐานว่า น่าจะมีเกาะขนาดใหญ่สักแห่งเคยตั้งอยู่นอกชายฝั่งทะเลของแอฟริกา และได้จมหายไปเนื่องจากสาเหตุบางประการ เขาศึกษาสภาพภูมิศาสตร์และการกระจายตัวของลิงเลมูร์ ในที่สุดก็ให้ชื่อเกาะที่ไม่มีอยู่เสียแล้วในปัจจุบันว่า เลมูเรีย ตามชื่อของลิงเลมูร์ที่ถูกค้นพบในบริเวณนั้น
ลิงเลมูร์ไม่ใช่สัตว์ชั้นสูงที่ฉลาดนัก แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องกุมขมับกับลักษณะการกระจายตัวของมัน เพราะลิงพวกนี้สามารถข้ามมหาสมุทรและขยายเผ่าพันธุ์ออกไปในดินแดนที่อยู่ห่างไกลกันปานนั้นได้อย่างไร นักชีววิทยาจำนวนหนึ่งจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า ดินแดนที่เคยเป็นต้นกำเนิดของตัวเลมูร์นี้ ครั้งหนึ่งน่าจะเป็นดินแดนที่ติดกับทวีปใหญ่ จึงทำให้เลมูร์สามารถเดินทางขยายเผ่าพันธุ์ได้ไกลขนาดนั้น เมื่อโลกของเรามีการเปลี่ยนแปลง จึงทำให้ทวีปต่างๆ เคลื่อนออกจากกัน ทำให้เราพบตัวเลมูร์อยู่ในบางส่วนของทวีปอื่นด้วย
และถ้าเคยมีดินแดนดังกล่าวที่เรียกว่า ‘เลมูเรีย’ อยู่จริง จะเป็นไปได้ไหมที่ดินแดนดังกล่าวเคยเป็นแหล่งอารยธรรมที่มีมนุษย์อาศัยอยู่?
ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ เพราะดินแดนดังกล่าวน่าจะจมหายลงสู่ก้นมหาสมุทรหลายหมื่นปีมาแล้ว แต่ถ้ามันเคยมีอยู่จริง เลมูเรียก็เป็นดินแดนแรกที่เป็นต้นกำเนิดอารยธรรมของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีการค้นพบมา
ไฮริช ฮัคเกิล นักวิชาการชาวเยอรมันผู้ปักอกปักใจเกี่ยวกับการศึกษาค้นหาเลมูเรียกล่าวว่า หลักฐานหลายประการบ่งชี้ว่า ดินแดนนี้น่าจะเคยมีอยู่จริง มันคั่นกลางระหว่างเอเชีย แอฟริกา และอเมริกา โดยทอดเป็นแนวยาวขนานไปกับฝั่งทะเลแอฟริกา ฮัคเกิลเรียกเลมูเรียว่า สรวงสวรรค์ (Paradise) เพราะเขาเชื่อมั่นมากๆ ว่านั่นคือต้นกำเนิดแห่งอารยธรรมทั้งปวงของมนุษยชาติ เหมือนกับที่หลายๆ คนเรียกเลมูเรียหรือมูว่า ทวีปแห่งมารดร เนื่องจากเป็นต้นกำเนิดอารยธรรมมนุษย์
ร่องรอยบนเกาะอีสเตอร์
ในเย็นวันหนึ่งของเทศกาลอีสเตอร์ (ค.ศ.1722) หนึ่งในกองเรือของดัทช์ได้ค้นพบเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ทางใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิค พวกเขาอ้างการค้นพบนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์แห่งการครอบครองเกาะตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ผู้บังคับการกองเรือ ยาคอบ ร็อกเกเวเอน และลูกเรือของเขาเดินทางมาถึงเกาะนี้ในตอนเช้ามืด เป้าหมายของพวกเขาคือการออกหาแหล่งน้ำจืดเพื่อเป็นเสบียง รวมทั้งร่องรอยของชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้ ระหว่างที่ทอดสมอรอจะขึ้นฝั่งนั้น ลูกเรือชาวดัทช์เห็นกองไฟปรากฏเป็นกลุ่มๆ บริเวณชายฝั่งของเกาะ ทำให้มั่นใจได้ว่าเกาะนี้มีผู้คนอาศัยอยู่
เมื่อถึงรุ่งเช้า ลูกเรือชาวดัทช์ต้องประหลาดใจอย่างมากกับภาพที่พวกเขาได้เห็น เพราะตลอดความยาวของชายฝั่ง ผู้คนผิวสีต่างๆ กันกำลังทำพิธีสักการะและบวงสรวงรูปสลักหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า
ร็อกเกเวเอนตั้งชื่อเกาะนี้ตามภาษาดัทช์ว่า พาชช์ อีลันด์ (Paasch Ey land) หรือในภาษาอังกฤษว่า Easter เพราะค้นพบเกาะแห่งนี้ในวันอีสเตอร์ พวกดัทช์ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงในการสำรวจเกาะนี้ โดยเฉพาะประติมากรรมรูปหัวคนขนาดใหญ่ ร็อกเกเวเอนสรุปในปูมเรือของเขาว่า ประติมากรรมเหล่านี้สูงต่ำต่างกัน แต่ลักษณะโดยรวมเหมือนกันมาก จากการสำรวจเศษหินบริเวณนั้น เขาคิดว่ามันน่าจะถูกสร้างขึ้นจากดินเหนียวผสมดินธรรมดาและก้อนกรวด โดยหารู้ไม่ว่าประติมากรรมหัวคนเหล่านั้น (ที่ภายหลังรู้จักกันในนามของ ‘โมอาย’) ทำมาจากหินสุดแข็งชนิดหนึ่ง และเกาะนี้ได้กลายมาเป็นแหล่งศึกษาทางอารยธรรมของมนุษย์อีกแหล่งหนึ่ง ซึ่งยังมีการถกเถียงกันอย่างไม่รู้จบในภายหลัง
ในปี ค.ศ.1770 ฟิลิเป้ กอนซาเลส นักสำรวจชาวสเปนดั้นด้นไปถึงเกาะอีสเตอร์เพื่อพิสูจน์คำร่ำลือเกี่ยวกับเกาะแห่งนี้ เขาฉงนฉงายอย่างมากกับรูปปั้นขนาดใหญ่เหล่านั้น ซึ่งนักสำรวจรุ่นก่อนๆ บอกว่ามันถูกทำมาจากดินปั้น เขาเอาพลั่วทุบรูปปั้นเหล่านั้นและพบว่ามันแข็งแถมมีสะเก็ดไฟแลบ ซึ่งหมายความว่ารูปปั้นโมอายเหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างจากดินเหนียว มันถูกสร้างขึ้นจากหินแข็งแท้ๆ ทำให้มีคำถามว่าชาวพื้นเมืองไปเรียนวิธีสกัดหินเหล่านี้จากไหน ใช้เครื่องมืออะไรสกัดและขนย้าย ประการสำคัญคือพวกเขาเอาหินพวกนี้มาจากไหน นั่นเป็นคำถามที่แม้ปัจจุบันก็ยังถกเถียงกันไม่จบ
แม้บางส่วนจะผุพังไปกับกาลเวลา แต่ความยิ่งใหญ่และมนตร์ขลังของประติมากรรมเหล่านี้ก็ยังคงอยู่จนปัจจุบัน เพราะด้วยเครื่องไม้เครื่องมือยังชีพของชาวเกาะ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะสกัดหินออกมาให้ได้ในลักษณะดังกล่าว ไหนจะลากมาตั้งไว้ริมหาดและรั้งรูปเหล่านั้นให้ตั้งตรงได้อีก ดูแล้วออกจะเหลือเชื่อมากๆ
ต่อมามีนักสำรวจชาวยุโรปเดินทางมาที่เกาะอีสเตอร์เรื่อยๆ แม้จะพยายามขบกันจนหัวแตก แต่ก็ได้เรื่องราวออกมาน้อยเต็มที กระทั่งชั่วระยะเวลาหนึ่งผ่านไป ปริศนาชิ้นใหม่ก็เกิดขึ้นมาอีก นั่นคือไม้กระดานที่ใช้ปักหลุมศพของชาวพื้นเมือง ซึ่งเรารู้จักกันในปัจจุบันว่า รองโกรองโก้ (RongoRongo) เป็นอักษรภาพที่แม้ปัจจุบันก็ไม่มีใครอ่านออก ชาวพื้นเมืองปัจจุบันเองก็ให้ข้อมูลได้แค่มันอยู่อย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้นักโบราณคดีในปัจจุบันจะพอแกะอักษรนี้ได้บางส่วน แต่ก็ยังมืดมนนักหากต้องการจะอ่านอักษรภาพเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
