บทที่ 24 พบกันในความฝันและทวีปแห่งมารดร (3/3)
James Churchward นายพันผู้สนใจปรัชญาตะวันออกได้เดินทางไปพำนักที่อินเดีย โดยอาศัยที่วัดแห่งหนึ่งใกล้เมือง Rishi ด้วยความสนใจตำนานโบราณ เชิร์ชวาร์ดสนิทสนมกับนักบวชผู้ใหญ่รูปหนึ่งอย่างรวดเร็ว ความใฝ่รู้ของเขาทำให้นักบวชพอใจและถ่ายทอดตำนานเร้นลับที่สาปสูญมานานนับพันปีเรื่องหนึ่งให้เขา รวมถึงภาษาโบราณที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นภาษาดั้งเดิมของมนุษยชาติ เชิร์ชวาร์ดรู้สึกทึ่งระคนอัศจรรย์ใจโดยเฉพาะเรื่องราวที่เขาได้ศึกษามาหลังจากนั้น ยิ่งแกะรอยลึกเข้าไปเขายิ่งงงงัน เพราะเรื่องราวทั้งหลายที่เขาเรียนรู้มา มันเพียงพอจะพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติได้ เชิร์ชวาร์ดศึกษาเข้าไปถึงแก่นลึกของอาณาจักรโบราณที่ล่มสลายไปแล้วเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ทวีปแห่งมารดร...มู เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ.1868 หรือเมื่อ 155 ปีก่อนจากปัจจุบันที่เป็นปี 2023
หลักฐานที่ค้นพบนำมาสู่คำถามที่ว่าทวีปแห่งมารดรหรือมูนี้ได้สูญหายไปในอดีตกาลหรือไม่ หรือเป็นเพียงตำนานของคนรุ่นก่อน หากมีจริง มูตั้งอยู่ที่ไหน ควรจะมีลักษณะของภูมิศาสตร์หรืออารยธรรมเช่นไร?
ว่ากันว่าทวีปมูตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งประสบภัยพิบัติคล้ายแอตแลนติส ปัจจุบันคงเหลือเพียงหมู่เกาะเล็กๆ กระจัดกระจายทั่วไป ตามตำนาน มูเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่มหาศาล เป็นจุดกำเนิดอารยธรรมของมนุษยชาติ มีอายุมากกว่า 50,000 ปี แต่กลับหายไปจนแทบไม่เหลือร่องรอย
จากการศึกษาทำให้เชิร์ชวาร์ดสนใจเรื่องของมูเป็นอย่างมาก เขาเดินทางสำรวจไปทั่วโลกโดยเฉพาะในทวีปออสเตรเลียและหมู่เกาะทะเลใต้ ซึ่งเขาเชื่อว่าเคยเป็นที่ตั้งของมูมาก่อน หลักฐานที่ทำให้เขาปักใจเรื่องมูนี้ อย่างแรกคือแผ่นจารึกที่เขาได้ศึกษาในอินเดีย เรียกกันว่าจารึกนาอะคัล (Naacal) อย่างที่สองคือ เมื่อนำเรื่องราวจากจารึกนี้ไปโยงใยกับอารยธรรมโบราณที่เจริญแบบผิดยุคสมัยและมีที่มาที่ไปอันมืดมน เช่น อียิปต์ แอซเท็ค อินคา จะพบว่ามันมีความสัมพันธ์กันอย่างน่าประหลาด ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีโบราณ หรือตำนานอันน่าทึ่งที่บังเอิญพ้องกัน จนอาจยืนยันได้ว่าทวีปซึ่งครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางของโลกเป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมของมนุษยชาตินั้นมีอยู่จริง
‘ดอกบัว’ เป็นสัญญลักษร์ที่ใช้กันมานานประมาณ 50,000-300,000 ปีบนทวีปมู ดอกบัวสื่อภาพแทนตัวอาณาจักร รวมไปถึงสัญลักษณ์ตราราชวงศ์และที่ลึกซึ้งกว่านั้นคือศาสนธรรมโบราณ
ต่อมานักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสชื่อ ชาร์ลส-เอเตียน บราสเซอร์ เดอ บอร์บอร์ก เป็นคนแรกที่ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับทวีปมู เดอ บอร์บอร์ก เคยศึกษาอยู่ในอเมริกา ระหว่างที่เขากำลังศึกษาเรื่องราวของชาวมายานั้น (ค.ศ.1864) เขาได้แปลเอกสารโบราณส่วนหนึ่งของชาวมายา เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่เหลืออยู่น้อยนิดที่รอดจากการเผาทำลายของชาวสเปน ผลจากความพยายามของบอร์บอร์กทำให้ชนรุ่นหลังได้ทราบว่า ครั้งหนึ่งเคยมีนครโบราณที่มีอันเป็นไปด้วยการจมลงสู่ก้นมหาสมุทรเพราะการระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟ เดอ บอร์บอร์กพบอักษรภาพคู่หนึ่งในเอกสารโบราณนั้น ซึ่งการออกเสียงของอักษรดังกล่าวตรงกับตัวเอ็มและตัวยูในภาษาอังกฤษ เขาจึงอนุมานว่า นครโบราณที่จมลงสู่ใต้น้ำน่าจะมีชื่อว่า ‘นครมูหรืออาณาจักรมู’
การค้นพบของเดอบอร์บอร์กสร้างความตื่นตัวให้วงการโบราณคดี นักโบราณคดีหลายคนพยายามแกะรอยอาณาจักรดังกล่าวจากเอกสารต่างๆ ที่พอจะหาได้ มีนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสอีกทีมค้นพบหลักฐานน่าสนใจที่โยงใยถึงอาณาจักรมูอีกชิ้นหนึ่ง นักโบราณคดีชุดนี้นำทีมโดย ออกัสตัส เลอพอง กีออง
เลอพอง กีออง แถลงว่าสิ่งที่พวกเขาค้นพบคือหลักฐานที่ว่าด้วยตำนานของชาวมายา กล่าวถึงนครโบราณที่มีนามว่า ‘มู’ มีผู้ปกครองเป็นราชินีนามเหมือนชื่อนครนั่นคือ ราชินีมู (Moo) พระนางมีสวามีเป็นพี่น้องกันแต่ต่อมาได้สิ้นพระชนม์ลงด้วยการแย่งอำนาจ จนนางต้องอภิเษกกับน้องชายอีกคนหนึ่ง กระทั่งเมื่อนครนี้ประสบภัยจากภูเขาไฟระเบิด ราชินีมูได้พาผู้คนอพยพไปตั้งรกราก ณ ดินแดนแห่งใหม่ ซึ่งนักโบราณคดีกลุ่มนี้ตีความว่าน่าจะเป็นอียิปต์ เพราะตำนานไปสอดคล้องกับเรื่องราวของเทพีไอซิส
สวามีของไอซิสคือโอไซริสซึ่งสิ้นชีพไปเพราะเซธผู้เป็นน้องชาย สุดท้ายเซธก็ต้องมารบกับโฮรัสบุตรของโอไซริสซึ่งมาล้างแค้นแทนบิดา ทำให้ทะเลทรายซาฮาร่ากลายสภาพจากป่าดงดิบเป็นทะเลทรายอันไพศาล
นักโบราณคดีชุดนี้เชื่อว่า ทวีปมูน่าจะตั้งอยู่ในอ่าวเม็กซิโกและอยู่ทางตะวันตกของทะเลแคริบเบียน โดยทวีปมูแบ่งดินแดนในปกครองออกเป็นนครเล็กๆ สิบแห่ง ซึ่งคล้ายคลึงกับเรื่องแอตแลนติสของเพลโตที่สุด และที่สำคัญคือชาวมายากล่าวถึงมูว่า ทวีปนี้ได้จมหายสู่ก้นมหาสมุทรเมื่อราว 8 พันปีมาแล้ว อันเป็นระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกันกับการล่มสลายของแอตแลนติสภายใต้สมมติฐานของนักโบราณคดีปัจจุบัน
หรือว่า... มูกับแอตแลนติสคือดินแดนเดียวกัน แต่ถูกเรียกต่างกันไปตามภาษาต่างๆ?
หลายคนว่าไม่น่าจะใช่ เชิร์ชวาร์ดได้พบเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับมู เขาบรรยายว่าดินแดนแห่งมูนั้นราวกับสวนสวรรค์บนโลกมนุษย์ เป็นอาณาจักรใหญ่ที่มีประชากรมากถึง 64 ล้านคน เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ทำให้ดินแดนนี้ล่มสลาย มีประชาชนเพียงส่วนน้อยที่หนีออกมาได้ และต้องเริ่มต้นตั้งอารยธรรมมนุษย์กันใหม่หมด ดังนั้น พวกเขาจึงจารึกเรื่องราวทั้งหลายเพื่อถ่ายทอดสู่ชนรุ่นหลังให้รับทราบ
ที่มาของคำว่า เลมูเรีย
ทฤษฎีของชาร์ลส ดาร์วิน ที่ว่าด้วยเรื่องวิวัฒนาการยังถูกนำมาใช้กันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกรณีศึกษาของเขาที่เกาะกาลาปากอสนั้น สามารถอธิบายแหล่งที่อยู่อาศัยและผลพวงของการวิวัฒนาการได้เป็นอย่างดี เพราะการศึกษาของดาร์วิน จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์อธิบายได้ว่าเหตุใดพืชแบบนี้จึงมีถิ่นฐานอยู่ในภูมิภาคนี้ จำพวกไหนควรอยู่ที่ภูมิภาคใดได้บ้าง แต่ยังมีอีกชนิดหนึ่งที่สร้างความสับสนให้วงการวิทยาศาสตร์ ที่เรียกว่า ลิงเลมูร์ (Lemur) ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายลิงแต่เล็กกว่า
