3 อ้อมกอด
แต่เท้าบางก็ต้องชะงักเมื่อเดินมาถึงหน้าโรงพยาบาล เป็นเขาจริงๆ ใช่ไหม คนที่เธอคิดถึงอยู่ตลอดเวลา เมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นเขาที่ยืนพิงรถสปอร์ตคู่ใจ ก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที
“กอหญ้าอย่าวิ่ง...” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ร่างบางก็ทำท่าจะเซถลา ทั้งที่อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงตัวเขาแล้ว
“วร้าย...” เธอหลับตาปี้ เมื่อกี้คิดว่าคงต้องล้มก้นจั้มมั้มอีกตามเคย แต่มันไม่เป็นอย่างที่คิด เธอไม่รู้สึกเจ็บแถมเธอยังรู้สึกเหมือนมีอ้อมกอดที่อบอุ่นมากอดเธอไว้อีกด้วย
“เกือบเจ็บตัวอีกแล้ว” เขาว่าบอกเธอเสียงอ่อน ไม่ได้ดุเธอเหมือนอย่างเคย
“ฮึก เคนหายไปไหนมา ทำไมไม่ติดต่อกันมาบ้าง นี่แหนะ ๆ ฮือ
คนใจร้าย รู้ไหมหญ้าคิดถึง หญ้าเป็นห่วงขนาดไหน” เธอว่าเขาทั้งน้ำตาด้วยความน้อยใจ พร้อมกับละดมทุบไปที่อกแกร่งหวังว่ามันจะบรรเทาความเจ็บนี้ได้บ้าง เธอเจ็บที่เขามักจะหายไปไม่บอกไม่กล่าว ไม่แม้แต่จะส่งข้อความหรือพยายามติดต่อมาให้เธอได้รับรู้ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปไหน แต่เขาก็น่า
จะรับรู้ความรู้สึกของเธอบ้าง ไม่ใช่นึกอยากจะหายก็หายไปแบบนี้
“อั๊ก” เขากุมมือเธอพยายามทุบตีเขาเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว แผลที่ยังไม่หายดีจากการพักฟื้นทำให้ใบหน้าเข้มต้องกัดฟันข่มความเจ็บ ก่อนจะใช้อีกมือหนึ่งยื่นไปเช็ดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยน
“เคนเป็นอะไร เจ็บที่หญ้าตีหรอ” เธอสังเกตเห็นสีหน้าแสดงอาการเจ็บปวดเพียงเสี้ยวนาทีของเขาก่อนจะเปลี่ยนเป็นใบหน้าขรึมเช่มเดิม
“อือ เจ็บมาก มือหนักชะมัด” เขาว่า
“ขี้ตู่ หญ้าตีตั้งบ่อยไม่เห็นจะบ่นเจ็บเลย”
“แล้วทำไมมาที่นี่ละ ทำงานเสร็จแล้วหรอ”
พิมพ์บอกเขาน้ำเสียงบ่งบอกได้อย่างดีว่าเธอกำลังเคืองเขาอยู่ แม้ว่าจะดีใจมากแค่ไหนก็ตามที่เจอเขา
“มาหายัยบ๋องแถวนี้ ที่ทั้งโทร ทั้งส่งข้อความมาหาทุกวัน ไม่รู้งอแงร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้วรึยัง” ภัครคิราว่าพร้อมกับยีหัวเธอ อย่างหยอกล้อ
“หยุดนะ หัวยุ่งหมดแล้ว ไม่ได้ร้องซักหน่อย ฝุ่นเข้าตาต่างหาก”
-กร๊อดดดด-
“แฮร่ พอดีช่วงนี้คนไข้เยอะน่ะ เลยไม่ค่อยมีเวลากินข้าว ต้องขึ้นวอร์ดบ่อยด้วย พอมีมันก็ไม่หิวแล้ว เคนมาก็ดีเลยไปกินข้าวเป็นเพื่อนหญ้าหน่อยนะ นะ ถือว่าเป็นการไถ่โทษที่หายไปไม่ติดต่อมาเป็นเดือนๆ ก็ได้” เธอว่าพร้อมกับเอามือลูบท้องทำตาแป๊วจ้องมองเขาอย่างเว้าวอน
“อืม”
“น่ารักที่สุดเลย” พิมพ์นภาดึงแก้มเขาบีบไปมาเหมือนเด็กน้อย
“ทำอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้” ว่าแล้วก็ปัดมือออกก่อนจะเปิดประตูขึ้นไปนั่งที่ประจำคนขับแล้วสตาร์ทรถรอ
“เด็ก ๆ อะไร น่ารักดีออก”
“ไม่กินแล้วใช่ไหมข้าวน่ะ”
“กินค่า ไปแล้ว ๆ จะรีบไปไหนก็ไม่รู้” พิมพ์นภาว่าก่อนจะรีบเดินไปขึ้นรถ กลัวว่าเขาจะไม่ไปกินกับเธออย่างที่บอก
ร้านอาหาร
“ค่อยๆ กินก็ได้ ไม่มีใครแย้งหรอก” เขาบอกเมื่อเห็นเธอรีบกินจนมันเลอะริมฝีปากบางสวยเล็กน้อย ก่อนจะหยิบทิชชูยื่นให้เธอ
“หือ ก็ต้องขึ้นลงวอร์ดทั้งวันนี่ แต่ละเคสก็ใช้เวลานาน ไหนจะเดินราวด์วอร์ดเกือบตลอดทั้งวันอีก แข้งขามันก็เลยอ่อนจะล้มอย่างที่เคนเห็นนั่นแหละ แฮะๆ :) แล้วทั้งวันข้าวเช้าก็กินไปนิดเดียวเพราะว่าหญ้าตื่นสาย” พิมพ์นภารับทิชชูจากเขามาเช็ดปากแล้วเล่าบอกเขายิ้ม การเป็นนักศึกษาแพทย์ปี 6 แล้วมันเหนื่อยและหิน เมื่อวานกว่าจะกลับถึงคอนโดก็เกือบจะตี 3 แล้ว เธอเพลียชนิดที่ว่าถึงห้อง หัวถึงหมอนก็หลับไปอย่างง่ายดาย แถมยังตื่นสายอีก โชคดีหน่อยที่คอนโดของเธอติดกับสถานีรถไฟฟ้าตอนเช้าเลยนั่งรถไฟฟ้ามา และต่อวินมอเตอร์ไซค์แป๊บเดียวก็ถึงโรงพยาบาลที่เธอต้องมาฝึกงาน ทำให้ไม่ต้องหงุดหงิดกับปัญหารถติดเท่าไหร่นัก
“อืม กินเถอะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นหมดซะก่อน” ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเธอเรียนหนักมากแค่ไหน ตั้งแต่มัธยมที่เธออ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อจะเข้าเรียนในคณะแพทย์ พอเป็นมานักศึกษาแพทย์ชั้น Pre clinic มันก็เริ่มหนักขึ้นจากมัธยม และล่าสุดที่เธอเป็น Extern เห็นทีตอนนี้จะหนักสุด เขาก็ศึกษามาอยู่บ้างเกี่ยวกับการเรียนแพทย์เพื่อที่จะได้คอยดูแลเธอถูก พอศึกษาไปมาก ๆ
ก็อดเป็นห่วงเธอไม่ได้ กลัวเธอจะรับไม่ไหว แต่พอเห็นทำได้ และทำมันออกมาได้ดี เขาก็อดที่จะภาคภูมิใจไม่ได้ แต่ไม่ว่าเขามักจะให้ลูกน้องคนสนิทมาคอยตามดูเธออยู่เสมอ ว่าเธอเป็นยังไงบ้าง แต่ละวันเธอทำอะไรตลอดเวลาที่เขาพักฟื้น 1 เดือน หรือก่อนหน้านั้นเขาก็มักจะส่งลูกน้องตามดูเธอตลอดเวลาที่เขาไม่ได้ขับรถตามเธอไปว่าเธอถึงคอนโดโดยปลอดภัยรึเปล่า ก็จะมีลูกน้องคอยรายงานความเคลื่อนไหวของเธอให้ฟังอยู่เสมอ ราวกับว่าทุกความเคลื่อนไหวของเธออยู่ในสายตาของเขาทั้งสิ้น รวมถึงไอหมอหน้าตี๋นั่นด้วย เขารู้ว่ามันตามจีบเธออยู่ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขากับเธอไม่ได้เป็นอะไรกัน
“ก็มันเหนื่อยนี่นา แล้วก็หิวมากด้วย” เธอว่าแล้วจัดการกับอาหารตรงหน้าตา ไม่สนใจภาพลักษณ์เลย
Rrrrrrrr
“งั้นเธอกินไปก่อนนะ ฉันขอไปรับโทรศัพท์ก่อน”
“อื้ม” พิมพ์นภาเหลือบมองเขาเป็นพักๆ เธอสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขาเริ่มจะเคร่งเครียดตอนคุยโทรศัพท์ เมื่อเห็นว่าเขาเก็บโทรศัพท์แล้วกำลังจะเดินเข้ามา เธอจึงหันมาสนใจอาหารตรงหน้าต่อ
“กินเสร็จแล้วเธอจะไปที่ไหนอีกรึเปล่า”
“หญ้าว่าจะไปซื้ออาหารเขาไปตุนไว้ที่คอนโดหน่อยนะ ของใกล้จะหมดแล้ว ช่วงนี้ยุ่งกับที่โรงพยาบาลมากด้วย วันนี้พอมีเวลาก็เลยจะไปหาซื้อมาตุนไว้ ทำไมหรอ เคนมีธุระต้องไปรึเปล่า”
“ไม่สำคัญอะไรหรอก เธอกินอิ่มแล้วใช่ไหมจะได้เช็คบิลล์ ไปซื้อของ แล้วกลับคอนโดกัน” เขารวบรัดตัดตอนในเธอเสร็จสรรพ เมื่อจัดการเคลียร์ทุกอย่างเสร็จตอนนี้เขาก็รับหน้าที่เป็นพนักงานจูงรถเข็นให้เธอเลือกซื้อของ
“เธอจะกินแต่อาหารพวกนี้จริง ๆ หรอ มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ เธอเรียนหมอก็น่าจะรู้หนิ” เขาว่าให้เธอ เพราะแต่ละอย่างที่เธอหยิบมา อาหารแช่แข็งเอย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเอย ไม่รวมของกินเล่นที่มีโซเดียมและน้ำตาลที่เยอะจนเต็มรถเข็น
“ให้หญ้าทำไงได้ล่ะ ก็มันไม่มีเวลาหนิ กว่าจะขึ้นวอร์ดเสร็จ ดูคนไข้ ตรวจประวัติการรักษาเอยอะไร มันก็ดึกมากแล้ว เวลานอนยังจะไม่พอเลย อะไรที่มันพอจะทำกินง่ายๆ ก็กินไปก่อนแล้วกัน” ไม่ใช่ว่าเธอกินอาหารพวกนี้เป็นครั้งแรกซะหน่อย ตั้งแต่เริ่มเข้าปีสองถึงตอนนี้ที่เป็น extern เธอก็พึ่งอาหารพวกนี้มาโดยตลอด เธอทำอาหารไม่เก่ง ถึงทำได้ก็ไม่อร่อย สู้เอาเวลาทำอาหารไปอ่านหนังสือยังดีซะกว่า ไม่ใช่ว่าเธอจะพึ่งอาหารพวกนี้อย่างเดียว บางครั้งเธอก็สั่งอาหารมากินบ้าง บางครั้งแม่ก็ทำมาให้บ้าง เมื่อรู้ว่าลูกสาวสุดที่รักต้องเรียนหนัก เมื่อบ่นอ้อนอยากกินอะไรแม่ก็ทำมาให้ทานอยู่เสมอ แต่ช่วงนี้แม่กับพ่อไปฮันนีมูนที่สวิตช์ เธอเลยต้องพึ่งอาหารพวกนี้กับสั่งอาหารมากิน จะชวนเขาไปกินเขาก็ไม่อยู่ ส่วนพราวกับพี่หมอ เธอก็ไปกินกับสองคนนั้นด้วยบ่อยครั้ง แต่พักหลังๆ มานี้เวลาเลิกงานไม่ตรงกัน แถมกว่าจะเลิกแต่ละวันก็ดึกมากแล้วด้วย จึงแยกย้ายหลับไปกินใครกินมัน
“แต่ถ้าเคนไม่อยากให้หญ้ากินของพวกนี้ เคนก็ต้องทำให้หญ้ากินแล้วล่ะ” เธอบอกเขาเสียงอ้อน ทั้งที่รู้ว่าความเป็นไปได้เป็นศูนย์
“อือ ไว้ว่างจะแวะไปทำให้กินแล้วกัน”
“เคนพูดจริงๆ นะ ไม่ได้หลอกให้หญ้าดีใจเล่นใช่ไหม” พิมพ์นภาทำท่าทางดีใจราวกับเด็กน้อยที่ได้ของขวัญชิ้นใหญ่ในงานวันเกิด
“อืม” เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามไปกับท่าทีของเธอ
พิมพ์นภาเลือกดูของอีกนิดหน่อย โดยมีเขาคอยช่วย คอยห้ามเมื่อเห็นว่าของที่เธอหยิบมันมามันมีแต่ของไม่มีประโยชน์ ก่อนที่เขาจะขับรถไปส่งเธอที่คอนโด
แล้วก็เป็นอย่างเคย เธอหลับไปด้วยความเพลีย แล้วยังหลับฝันดีซะด้วย อ้มยิ้มเชียว
“เธอได้กินข้าวบ้างไม่เนี่ยกอหญ้า” เขาบ่นเมื่อประคองเธอขึ้นอุ้มก็รู้สึกว่าตัวเธอจะเบาไปกว่าคราวก่อนที่เขาอุ้ม
“คนไขมีอาการชัก ต้องทำ @&$/@$?’ “พิมพ์นภาร้องละเมอออกเสียงดังในประโยคแรก ก่อนที่มันจะค่อยๆ เบาลงเป็นเสียงบ่นงึมงำจนเขาจับใจความไม่ได้
“ถึงขั้นละเมอเลยหรอเนี่ย ท่าจะหนักจริง” เขาว่าพร้อมกับส่ายหัวให้กับคนในอ้อมแขน
ภัครคิราวางเธอลงบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนจะทอดรองเท้าจัดท่านอนให้เธอได้นอนสบาย โดยไม่ลืมที่หยิบผ้าห่มคลุมตัวเธอไว้ เธอขี้หนาวข้อนี้เขารู้ดี เพราะตอน ม.ปลายที่ออกทริปไปญี่ปุ่น อากาศ 10 องศา เธอแต่งตัวเหมือนกับว่ามันจะติดลบสิบอย่างไงอย่างงั้น
จากนั้นเขาก็ลงไปขนของขึ้นมาจัดเรียงให้เธอเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็เดินกลับเข้ามาหาเธอในห้องนอน เห็นว่าเธอยังหลับอยู่จึงเดินเข้าไปหา ก่อนที่จะโน้มตัวลงจูบหน้าผากบางนั้นอย่างอ่อนโยน ถ่ายเทความรักความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวตรงหน้า ตอนนี้เขาคงทำได้เพียงเท่านี้
“เคนรักหญ้านะ จุ๊บ” ไม่ว่าเปล่าภัครคิรายังโน้มตัวลงไปจูบหน้าผากเธออย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะไล่มือไปยังแก้มนวล ปากเล็กๆ ที่กินเก่ง พูดเก่ง ก่อนจะโน้มตัวลงประทับจูบที่ริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบา
