ตอนที่ 4 หยกตัวตั้นเหตุ
ภายในห้อง 4 เหลี่ยมไม่เล็กและใหญ่จนเกินไป ซูเชี่ยวนั่งเท้าคางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใช้ความคิด 1 เดือนมานี้หญิงสาวพยายามหาคำตอบทุกทางว่าเเท้จริงนางมาอยู่ที่นี่ได้เช่นไรกันแน่ วิญญาณเจ้าของร่างนี่ล่ะไปอยู่ที่ไหน ทำไมถึงได้เข้ามาอยู่ได้แล้วตัวนางเองในโลกเก่าจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ หญิงสาวพยายามคิดถึงสาเหตุหรือเหตุผลที่เป็นไปได้ แต่คิดเท่าไหร่ก็ยังคิดไม่ออกจึงลุกเพื่อจะไปตำหนักเมี่ยนเปาเพื่อทานข้าวในตอนเย็น ขณะที่ลุกขึ้นกำลังจะก้าวเท้าแต่กลับรู้สึกว่าที่ปลายเท้าว่าเหยียบอะไรเข้าให้ ซูเชี่ยวหยิบขึ้นมาดูอย่างสงสัย แสงอาทิตย์สีทองอารามช่วงยามเหม่า ส่องผ่านบานประตูหน้าต่างที่หญิงสาวเปิดทิ้งไว้กระทบเข้ากับจี้หยกสีเขียวมิ้นต์เข้ายามที่หญิงสาวจับขึ้นมาพลิกดู เป็นหยกทรงกลม ด้านในเป็นรูปดอกไม้ที่มีผีเสื้อเกาะอยู่ตัวหนึ่ง
“หยกนี้สวยจัง มาตกอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร”
หญิงสาวพลิกดูไปมาอย่างละเอียดและพูดกับตัวเอง นางรู้สึกคุ้นตากับหยกชิ้นนี้เป็นอย่างมาก พยายามนึกว่าเจอที่ไหนถ้าในโลกแห่งนี้นางพึ่งได้เห็นเป็นครั้งแรกแน่ๆ ถ้าเป็นหากในโลกก่อนนางคงไม่มีหยกแบบนี้แน่นอน แต่แล้วอยู่ๆ ความทรงจำในหัวของนางก็ปรากฏ ภาพที่หญิงสาวกำลังเดินอยู่บนถนนคนเดินในโลกที่แล้ว กำลังเลือกซื้อของและหันไปเห็นลุงคุณหนึ่งแต่งตัวโทรมๆ กำลังนั่งขายของเก่าโดยการใช้ผ้าขนาด 3.5 ฟุตกางกับพื้น และนำสิ่งของวางขายด้วยความที่เป็นคนขี้สงสารจึงเดินเข้าไปหวังจะช่วยอุดหนุน หญิงสาวจับแจกันไม้ที่แกะสลักเป็นรูปผีเสื้อขึ้นมาดูอย่างสนใจ เพราะนางก็ชอบสะสมของเก่าเช่นกัน
“นางหนูชอบแจกันชิ้นนั้นเหรอถามลุงได้”
ชายคนขายพูดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หญิงสาวเพียงยิ้มกลับไปและเลือกดูแจกันต่อ
“ฉันเอาชิ้นนี้จ๊ะลุง”
หญิงสาวยื่นแจกันตรงหน้าให้ลุงคนขายเพื่อใส่ถุง
“20 หยวนจ๊ะแม่หนู ลุงเเถมหยกชิ้นนี้ให้แล้วกัน”
ลุงคนขายพูดพลางหยิบใส่ถุงให้ไปพลาง
“ไม่เป็นไรจ๊ะลุง ไม่ต้องแถมฉันหรอกเอาไว้ขาย เผื่อมีคนอื่นสนใจ” หญิงสาวรีบปฏิเสธ
“หยกชิ้นนี้อยู่กับลุงมานานแล้ว ขายไม่ได้สักทีลุงแถมให้แล้วกัน” ลุงคนขายพูดแล้วยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวกล่าวออกมาและยื่นเงินให้ทั้งหมด30 หยวน จากนั้นเดินออกมาโดยไม่ฟังคำทักท้วงของลุงคนขาย
ปัง!!
เสียงหน้าต่างปิดดังเพราะลมข้างนอกพัดแรง ทำให้หญิงสาวที่ยืนถือหยกกำลังนึกเรื่องในโลกใบเก่าสะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิด
“มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" หญิงสาวกล่าวออกมากับตัวเอง และใช้ความคิดว่าอาจจะเป็นหยกชิ้นนี้ก็ได้ที่นำพาหญิงสาวมาที่นี่ จากนั้นนางนำหยกชิ้นนั้นห้อยเอาไว้ที่เอวและปิดหน้าต่างเตรียมตัวออกไปทานอาหารมื้อเย็น เพราะคนที่นี่ทานข้าวเป็นเวลาหากเลยเวลาแล้วอาหารอาจถูกเก็บจนหมด
.
ณ ตำหนักหยกขาว
“เจ้าว่าอะไรนะ? คนของเราได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
เสียงทุ้มกล่าวออกมาอย่างอารมณ์เสีย เสียงที่พูดออกมาคือเจ้าสำนักลี่หยางที่นั่งอยู่ด้านหน้าห้องโถงบริเวณโต๊ะหนังสือ ขณะที่พูดก็วางหนังสือลงและเงยหน้ามองผู้ที่มารายงานนั้นก็คือรองเจ้าสำนักเฟยซิ่นและผู้ติดตามเขา1คน ที่ยืนอยู่กลางห้องโถง
“ไม่ขอรับ คนของเราได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
เฟยซิ่นกล่าวออกมา ช่วยลดสีหน้าผ่อนคลายของลี่หยางได้บ้าง
“แล้วพวกมันล่ะ รู้หรือไม่ว่าเป็นใคร”
เสียงเข้มถามต่อ
“ยังไม่ทราบขอรับ แต่เราจับตัวได้1 คนก่อนที่มันจะกัดยาพิษฆ่าตัวตาย ตอนนี้ถูกขังไว้รอการสอบสวนขอรับ”
เฟยซิ่นรายงานแกผู้เป็นนายของเขา
“กัดยาพิษฆ่าตัวตายอย่างนั้นหรือ”
ลี่หยางพูดพึมพำกับตัวเองและทำท่าอย่างใช้ความคิด และพูดขึ้นว่า
“ข้าจะไปดูหน่อย”
จากนั้นเดินนำหน้าคนทั้ง2ที่กำลังยืนรายงานอยู่ออกจากห้องโถง ไปยังคุกใต้ดินทันที
ซูเชี่ยวที่กำลังเดินไปทานอาหารเย็นที่ตำหนักเมี่ยนเปา ซึ่งเป็นที่ทานอาหารเที่ยงและเย็นของคนที่นี่ ระหว่างเห็นศิษย์น้อยใหญ่ต่างวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกัน
“คารวะเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก”
ศิษย์ที่วิ่งไปเมื่อสักครู่ต่างพูดพร้อมเพียงกันและทำท่าคารวะ เมื่อลี่หยางเจ้าสำนักและเฟยซิ่นรองเจ้าสำนักเดินผ่าน ซูเชี่ยวที่เดินตามมาทีหลังก็มองมาอย่างสงสัย และสบตาเข้ากับสายตาสีน้ำตาลแดงของลี่หยางจนเผลอชะงัก นี่เหรอหน้าตาของลี่หยางเจ้าสำนักวารีหยก นางไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าของร่างเดิมถึงได้หลงจนหัวปักหัวปำขนาดนี้ หล่ออย่างกับดาราแถวหน้าที่นางเคยเห็นบนหน้าจอ TV ในโลกเก่า เพราะเวลาทานอาหารเช้าส่วนใหญ่นางก็แค่ตั้งใจกิน เอาแต่มองอาหารตรงหน้าไม่ได้หันไปมองอะไรทั้งนั้น กินเสร็จก็รีบกลับออกมาเลยไม่ได้สุงสิงหรือพูดคุยกับใครอีก ลี่หยางเดินผ่านไปไกลแล้วแต่ซูเชี่ยวยังยืนอยู่ที่เดิมอย่างตกตะลึง
“ซูเชี่ยว”
เจียอี่ที่เดินมาสะกิดซูเชี่ยวด้านหลังให้ตื่นจากภวังค์ และพูดต่อว่า
“ยืนเหม่ออะไรของเจ้า ไปทานอาหารเย็นได้แล้ว”
“เปล่า ไปกันเถอะ”
ซูเชี่ยวพูดและเดินไปข้างหน้าแต่กลับหันหน้ามามองด้านหลังตามแผ่นหลังกว้างของสายตาสีน้ำตาลแดงเมื่อสักครู่
ทางด้านลี่หยาง 1 เดือนมานี้เขาไม่ค่อยได้เจอหน้าของซูเชี่ยวอีกเลยหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ปกติเจ้าตัวจะพยายามเข้ามาเอาใจโดยการทำหน้าที่แทนบ่าวรับใช้บ้าง เอาขนมน้ำชามาให้เขาบ้าง คอยอาสามาช่วยปัดกวาดเช็ดถูในตำหนักเขาบ้าง พยายามหาเรื่องชวนเขาคุยถึงขั้นคอยรังควานผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้เขา ทำให้เขารู้สึกรำคาญเป็นอย่างมาก เขาเคยบอกนางไปแล้วว่าไม่ชอบแต่ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นางยังคงพยายามเข้าใกล้เขาเหมือนเดิม 1 เดือนที่ผ่านมาทำให้เรารู้สึกสงบจนลืมว่านางยังอยู่ที่สำนักแห่งนี้ แต่เมื่อสักครู่นี่ที่เขาได้เผลอสบตาเข้ากับนาง ในสายตานางกลับมองเขาด้วยความว่างเปล่า และนางเพียงยืนมองจากไกลๆ ไม่ได้วิ่งมาหาเหมือนเมื่อก่อนทำให้เขารู้สึกสงสัยว่านางอาจกลับตัวกลับใจ หรือนี่อาจเป็นแผนการอะไรสักอย่างของนางอีกก็ได้ แต่เขาก็ต้องหยุดคิดเรื่องนี้เพียงเท่านี้เพราะตอนนี้เขากำลังเร่งเดินทางไปที่คุกใต้ดินเพื่อสืบหาข้อมูลของคนร้าย ที่พยายามลักลอบเข้ามาในสำนักวารีหยก
ณ คุกใต้ดิน
ด้านในมีกรงขังไม้ประมาณ10กว่าห้อง และมีผู้คุ้มกันหนาแน่น ตรงหน้าของลี่หยางคือคนร้ายอายุประมาณ 25 ปี มือกางออกแล้วมัดไว้ที่เสาเหมือนไม้กางเขน มีสภาพช้ำตามใบหน้า เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน
“สารภาพหรือยัง”
ลี่หยางถามผู้คุมที่ยืนอยู่ตอนที่เข้ามาถึง
“ยังขอรับ”
ชายผู้คุมตอบออกมาอย่างจนปัญญา
“เฟยซิ่น”
ลี่หยางเรียกให้เฟยซิ่นพูด
“นายเจียง แช่ลู่ มีภรรยา ลูกชาย1 คน และลูกสาว1คน”
เฟยซิ่นยังพูดไม่จบคนร้ายที่อยู่ตรงหน้าถึงกับหน้าซีดและขัดขึ้นมาก่อน
“ข้ายอมพูดแล้ว ข้ายอมพูดแล้ว เป็น เป็น สำนักเพลิงอัคคี ข้ายอมพูดแล้วเจ้าปล่อยครอบครัวของข้าไปเถอะ”
ทันทีที่พูดจบคนร้ายได้กัดพิษฆ่าตัวตายทันที
“ตายแล้วครับท่านเจ้าสำนัก”
ผู้คุ้มกันที่อยู่ใกล้ๆ ตกใจรีบเข้าไปดู และพูดออกมา
“ไหนว่าเอายาพิษออกมาแล้วไง ไฉนยังกัดได้อีก”
เขาถามอย่างหัวเสีย
“ตอนข้าตรวจดูเห็นมีข้างเดียวจริงๆ ขอรับ”
ผู้คุมกล่าวออกมาอย่างลนลาน
“จัดการให้เรียบร้อย”
ลี่หยางพูดออกมาแล้วจึงสะบัดเสื้อคลุมและเดินหนีออกไป ตรงกลับตำหนักหยกขาว
