ตอนที่ 4
คุณนวลแขกลับเข้ามาในตอนบ่าย สั่งให้เตรียมอาหารพิเศษเพื่อเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของบุตรชาย ตรัยบอกกับมารดาว่าไม่ต้องการงานเลี้ยงหรูหรา นอกจากการได้กินข้าวพูดคุยตามประสาแม่ลูก
“ทำอะไรกันคะเนี่ย” มัสยาเดินเข้ามาในครัวด้วยความแปลกใจ ทุกคนต่างมือเป็นระวิงหั่นผักปอกผลไม้วุ่นกันน่าดู
“อาหารมื้อพิเศษต้อนรับการกลับบ้านของคุณตรัยค่ะ” ป้าชุ่มเฉลย
มัสยานิ่งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของชายหนุ่ม เธอเพิ่งปรับสภาพจิตใจตนเองได้แล้วจึงออกจากห้องนอนลงมาที่นี่ หลังจากที่เอาตัวเองออกมาจากห้องของตรัยแล้ว มัสยาก็เก็บตัวเงียบอยู่บนห้องคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น และตัดสินใจได้แล้วว่าจากนี้ไปจะทำอย่างไรกับชีวิตดี
“มาค่ะ มัสช่วย” มัสยาสลัดความคิดถึงคนใจร้ายออกไปจากหัวสมอง และตรงเข้ามาช่วยทุกคนที่กำลังเร่งมือทำงานในทันที
มัสยาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำอาหารทั้งหมด เธออยู่ที่บ้าน รัตนะอมรมานานจนรู้ว่าใครชอบอะไรรสชาติแบบไหน นอกจากจะเก่งเรื่องเรียนแล้วการบ้านการเรือนมัสยาก็ไม่เป็นสองรองใครเลย ทุกคนในบ้านต่าง ชื่นชอบรสมือในการทำอาหารของหญิงสาวแทบทุกคน
“มีอะไรให้กินบ้างเอ่ย” คุณนวลแขนั่งลงที่เก้าอี้แล้วเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดี ตรัยตามมานั่งตรงข้ามและมองดูอาหารมื้อพิเศษที่ทยอยถูกนำมาตั้งโต๊ะ ทุกเมนูล้วนเป็นกับข้าวที่เขาอยากกินมานานทั้งสิ้น
“มีน้ำพริกลงเรือด้วยเหรอ ใครทำน่ะ ชุ่มใช่ไหม แต่ผักแกะสลักด้วย สงสัยไม่ใช่แม่ชุ่มแล้วมั้งเนี่ย” ดูจากฝีมือการจัดที่แสนประณีตชวนให้น่ากินเช่นนี้ คงเป็นใครไม่ได้นอกจากมัสยาเป็นผู้ลงมือทำเอง
“น้ำแกงอะไรครับ” ตรัยมองชามน้ำแกงที่วางตรงหน้า กลิ่นหอมของมันทำให้หิวข้าวมากขึ้นไปอีก
“ไก่ตุ๋นฟักมะนาวดองค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งตอบ
“มัสยาไปไหนล่ะ ทำไมไม่มากินข้าวด้วยกัน” คุณนวลแขถามหา
“คุณมัสกำลังทำขนมบัวลอยอยู่ในครัวค่ะ” สาวใช้คนเดิมตอบ
“งั้นไปตามคุณมัสมา บอกว่าฉันเรียกให้มากินข้าว” คุณนวลแขสั่ง
สักพักมัสยาเดินออกมาจากครัวพร้อมจานผลไม้จานใหญ่ ตรัยมองคนที่นั่งลงตรงข้ามด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ ยิ่งเมื่อรู้ว่ามัสยาเป็นคนลงมือทำเองทั้งหมด เขาก็ยิ่งพอใจมากขึ้นอีก
“จะทำอะไรอีกจ๊ะ หนูมัส” คุณนวลแขถามด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“ขนมบัวลอยค่ะ มัสปั้นแป้งเพิ่งเสร็จ”
“ปล่อยให้คนอื่นทำต่อเถอะ หนูมัสมากินข้าวกับป้าดีกว่า มาจ้ะตรัย กับข้าวที่ลูกชอบทั้งนั้นเลย”
มัสยาตักข้าวใส่จานให้คุณนวลแขและต่อด้วยตรัย สาวน้อยไม่สบตาหรือมองหน้าคนที่กำลังส่งสายตาให้ เธอให้สัญญากับตัวเองแล้วว่าจะอยู่ให้ห่าง และจะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้ตรัยอีกต่อไปไม่ว่าเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น
“น้ำพริกครับ คุณแม่” ตรัยตักน้ำพริกให้มารดา
“ชุ่มทำใช่ไหม รสชาติกำลังดีไม่เผ็ดเกินไป” คุณนวลแขถาม
“คุณมัสทำค่ะ ทุกอย่างคุณมัสทำหมดเลย” ป้าชุ่มรายงาน
“จริงเหรอ” คุณหญิงนวลแขหัวเราะชอบใจ
“มัสแค่เป็นลูกมือค่ะคุณป้า ป้าชุ่มสิคะเป็นคนทำ” มัสยารีบบอก
“ชุ่มท่าทางจะตกงานนะเนี่ย ฝีมือหนูมัสไม่เป็นรองใครเลยจริงๆ” คุณนวลแขเอ่ยชม
มัสยาได้แต่ก้มหน้ายิ้มไม่พูดอะไรมาก สายตาเหลือบไปเห็นรอยยิ้มที่มุมปากบนใบหน้าตรัยที่แสดงความพอใจกับสิ่งที่เธอทำ แววตาของเขาจ้องมองแบบไม่ธรรมดา ทำให้ต้องเบนสายตาหนีไปทางอื่น
“คุณแม่จะให้ผมเริ่มงานเมื่อไรครับ” ตรัยวกมาคุยเรื่องงาน
เขากลับมาเพราะมารดาเอ่ยปากให้มาสานต่อกิจการของครอบครัว ตรัยไม่ลังเลหรือรีรอใดๆ เพราะตัวเองก็ต้องการให้คุณนวลแขได้พักผ่อนและทำในสิ่งที่รัก ดังนั้นเมื่อกลับมาแล้วจึงไม่อยากปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์
“ตรัยพร้อมเมื่อไรล่ะลูก จะพักให้หายเหนื่อยก่อนดีไหม”
ถึงคุณนวลแขจะอยากให้บุตรชายกลับมารับงานที่บริษัท แต่นางก็เข้าใจว่าตรัยเพิ่งเรียนจบและเพิ่งเดินทางกลับมาได้ไม่ถึงวัน หากต้องการพักสักหน่อยแล้วค่อยมาทำงานก็ย่อมได้
“แค่คุณแม่สั่ง ผมพร้อมลุยทันทีครับ”
“งั้นก็เริ่มวันจันทร์นี้เลย มีประชุมกับผู้ถือหุ้นพอดีแม่จะได้แนะนำตรัยอย่างเป็นทางการ”
“ได้ครับ เอ่อ คุณแม่ครับ ถ้าผมจะขอผู้ช่วยสักคนจะได้ไหมครับ”
“ผู้ช่วยเหรอ ตรัยจะเอามาทำอะไรลูก”
“ก็มาเป็นเลขาผม ช่วยดูแลผมทุกอย่างเพื่อผมจะได้ทำงานได้เต็มที่” สายตาของตรัยชำเลืองมองไปที่มัสยา หญิงสาวนั่งกินข้าวเงียบๆ ไม่พูดไม่จาใดๆ แม้ในใจจะเริ่มหวาดหวั่นว่าเลขาที่ตรัยพูดถึง จะหมายถึงตนหรือเปล่า
“ศจีเป็นเลขาแม่มานาน ทำงานได้ดีไม่มีที่ติ ถ้างั้นให้ศจีเป็นเลขาลูกต่อแล้วกัน”
ศจี เลขาคนเก่งของคุณนวลแข ตรัยรู้จักและเห็นกันมานาน ศจีทำงานด้วยความซื่อสัตย์และขยัน แน่นอนว่าตรัยเองก็อยากได้คนที่ไว้ใจด้วยมาร่วมงาน เพียงแต่...
“เอาคุณศจีเป็นเลขาเหมือนเดิมดีแล้วครับ ส่วนผู้ช่วยที่ผมขอคุณแม่อีกคน ผมอยากได้คนที่ไปไหนมาไหนกับผมได้ตลอดเวลา ช่วงแรกที่เข้าไปทำงานผมคงต้องเรียนรู้อะไรเยอะมาก อาจจะมีประชุมทั้งวันหรือไม่ก็ออกไปพบลูกค้า ถ้าคนที่มาช่วยผมรู้เวลา รู้หน้าที่ว่าต้องชงกาแฟตอนไหน หาข้าวให้กินเมื่อไร หรือวันไหนผมต้องทำอะไรบ้าง มันก็น่าจะช่วยให้ผมทำงานได้มากขึ้น คุณแม่ว่าดีไหมครับ”
“ถ้าอย่างนั้นแม่จะให้ศจีหาคนให้ หรือว่าลูกมองใครไว้หรือยัง”
เรื่องนี้คุณนวลแขไม่ขัดและกลับรู้สึกดีที่ตรัยตั้งใจทุ่มเทเวลาให้บริษัท เพียงแต่คนที่มีคุณสมบัติตามที่บุตรชายต้องการอาจต้องใช้เวลาในการรับสมัคร ซึ่งเรื่องนี้ศจีเลขาคนเก่งของนางคงช่วยได้
“ผมว่าไม่ต้องรับสมัครใหม่หรอกครับ เอาคนที่มีอยู่แล้วและมีศักยภาพเหมาะที่จะทำตำแหน่งนี้ดีกว่า ผมคิดว่าอยากให้มัสยามาทำงานนี้ครับ” ตรัยเอ่ยตรงไปตรงมา ในขณะที่มัสยาตกใจรีบเงยหน้าขึ้นพร้อมทั้งเตรียมจะเอ่ยปฏิเสธ แต่ว่าตรัยให้เหตุผลต่อไปว่า
“คุณแม่บอกว่ามัสยาเรียนจบเกียรตินิยม ถ้าอย่างนั้นเรื่องภาษาก็ไม่ต้องห่วง อีกอย่างมัสยาเคยตามคุณแม่ไปบริษัทบ่อยๆ ก็น่าจะคุ้นเคยกับคนในบริษัทบ้าง แล้วเราอยู่บ้านเดียวกันไปไหนมาไหนก็ไม่น่ามีปัญหา อีกอย่างผมคิดว่ามัสยาน่าจะรู้ว่าควรจะดูแลผมอย่างไร คุณแม่ว่าดีไหมครับ” ตรัยพูดพลางหันมาสบตามัสยาที่กำลังหาทางออกกับปัญหานี้
“หนูมัสว่าไง สะดวกจะไปช่วยไหม” คุณนวลแขหันมาถามความเห็นเจ้าตัวก่อน
ความจริงแล้วนางเห็นด้วยกับความคิดของตรัย อีกทั้งมัสยาเองก็มีความสามารถมากพอที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของบุตรชายได้ เพียงแต่เรื่องนี้ต้องถามเจ้าตัวดูก่อน เผื่อว่าบางทีหญิงสาวอาจจะอยากทำงานอื่นหรือ หมายตาสิ่งอื่นไว้แล้ว
“เอ่อ คือ” มัสยาไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ยิ่งเห็นสายตาที่จ้องมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ยิ่งทำให้กลัวว่าถ้าปฏิเสธไปอะไรจะเกิดขึ้น
“หนูมัสอยากไปทำงานที่บริษัทไหม หรือว่าอยากทำอย่างอื่น ไหนลองบอกป้าสิ”
“คือว่ามัส เอ่อ”
“เรียนจบมาก็น่าจะมาช่วยกันทำงาน จะไปเป็นลูกจ้างคนอื่นทำไมกัน คุณแม่จะได้สบายใจว่าจะไม่ถูกใครเอาเปรียบหรือใช้งานหนัก” ตรัยเอ่ยเสียงเข้มคล้ายกับจะบังคับให้คำตอบเป็นไปตามที่ตนต้องการ
“มัสแล้วแต่คุณป้าค่ะ” มัสยาตอบเสียงเบาไม่สบตาคนที่กดดันซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม
