
ซาตานทวงรัก
บทย่อ
“คุณตรัย ปล่อยค่ะ” สาวน้อยสะดุ้ง พยายามดิ้นเอาตัวเองออกจากอ้อมแขนที่รัดแน่นนั้น “ไม่ปล่อย” เขาแกล้งรัดให้แน่นกว่าเดิม มัสยาดิ้นพยายามเอามือดันตัวเองออกห่าง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเพราะยิ่งดิ้นตรัยก็ยิ่งรัด กลายเป็นว่าตนเองตกอยู่ในอ้อมกอดเขาโดยปริยาย “ปล่อยค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็น” มัสยาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับขอร้อง คงไม่ดีแน่หากใครในบ้านมาเห็นความใกล้ชิดเกินงามเช่นนี้ “กลัวใครมาเห็น หรือว่ากลัวใจตัวเองกันแน่” ใบหน้าคมโน้มลงมาใกล้ ลมหายใจอุ่นรดอยู่ที่ปลายจมูกสวย หัวใจมัสยาหล่นวูบตกลงไปที่ตาตุ่ม เนื้อตัวอ่อนปวกเปียกทำอะไรไม่ถูก
ตอนที่ 1
ตรัย อมรรัตนะ วัยยี่สิบห้าปีเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยเมื่อเช้านี้ เพื่อเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารบริษัทเอ็มอาร์ บริษัทส่งออกระดับแนวหน้าของประเทศ แทนมารดาที่ประกาศว่าอยากจะวางมือ เนื่องจากต้องการพักผ่อน
“ตาตรัย”
คุณนวลแขอ้าแขนรับการกลับมาของบุตรชายด้วยความยินดี ตรัยจากบ้านเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศนานเกือบสองปี เมื่อได้พบกันอีกครั้งความ ภูมิฐานที่จะก้าวเข้ามาเป็นผู้บริหารแทนตน ทำให้นางรู้สึกยินดีและภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
“สวัสดีครับ คุณแม่” ตรัยสวมกอดมารดาแนบแน่นด้วยความคิดถึงไม่แพ้กัน
ชีวิตเขามีแม่เป็นแสงสว่างนำทางสู่ความสำเร็จ นับตั้งแต่วันที่บิดาจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ชีวิตของสองแม่ลูกก็มีกันและกันเช่นนี้ตลอดมา เพียงแค่คุณนวลแขโทรศัพท์บอกว่าอยากพักผ่อนและต้องการให้ตรัยกลับเมืองไทย มาทำหน้าที่ดูแลบริษัทที่สร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรง ชายหนุ่มก็ไม่ปฏิเสธ จัดการทุกอย่างทางโน้นให้เรียบร้อย และเดินทางกลับมาในทันที
“กลับมาเหนื่อยๆ ไปพักก่อนไหมลูก เดี๋ยวเย็นนี้ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน หรือลูกอยากจะกินอะไรเป็นพิเศษไหม แม่จะสั่งให้เด็กทำขึ้นไปให้” มารดาถามอย่างเอาใจ
“ผมไม่เหนื่อยเลยครับ อยากคุยกับคุณแม่มากกว่า” บุตรชายโน้มปลายจมูกคมลงมาหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ แค่นี้คุณนวลแขก็มีความสุขแล้ว
“แม่มีประชุมที่สมาคม ตรัยไปพักผ่อนก่อนเถอะ พอกลับมาแล้วค่อยคุยกัน เรามีเวลาคุยกันอีกนานลูก”
งานสังคมที่นางต้องแบ่งเวลาไปร่วมดูแล คืออีกเหตุผลที่ทำให้ตรัยต้องเดินทางกลับมาดูแลบริษัท เพราะคุณนวลแขมีหน้าที่หลายสิ่งเพิ่มมากขึ้น และอยากเอาเวลาในช่วงบั้นปลายสุดท้ายตอบแทนคืนสู่สังคมบ้าง
“ก็ได้ครับ” ตรัยปล่อยอ้อมแขนให้มารดาเป็นอิสระ และเตรียมตัวขึ้นไปห้องนอนของตนแต่โดยดี
“เดี๋ยวแม่มา” นางจับแก้มลูกชายด้วยความเอ็นดู
ตรัยยืนส่งคุณนวลแขที่หน้าบ้านรอจนกระทั่งรถลับสายตาไปแล้วจึงหันหลังกลับเข้าบ้าน เห็นสมาชิกทุกคนยังยืนอยู่ครบ เขาจำทุกคนได้และดีใจที่เห็นทุกคนสบายดี
“คุณตรัยหิวไหมคะ เดี๋ยวป้าให้เด็กทำอะไรให้กินก่อน” ป้าชุ่ม คนสนิทของมารดาถามขึ้นมาเป็นคนแรก
“ไม่เป็นไรครับ ผมขอตัวขึ้นข้างบนก่อนดีกว่า ดีใจที่เห็นทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า สบายดีกันใช่ไหม” ตรัยเอ่ยถามสารทุกข์สุขดิบคนเก่าแก่ที่อยู่ดูแลกันมา เขาเพิ่งสังเกตว่ามีใครบางคนหายหน้าไป
“ป้าให้เด็กยกกระเป๋าตามไปนะคะ” ป้าชุ่มหันมาสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันทำงานและเอากระเป๋าเดินทางของตรัยขึ้นไปเก็บบนห้องเป็นการด่วน
ตรัยเดินมาถึงหน้าห้องนอนของตน กำลังจะเปิดประตูเข้าห้องแต่ต้องชะงักเมื่อประตูห้องตรงข้ามเปิดออกมาเสียก่อน คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเห็นเจ้าของห้องที่เพิ่งจะเปิดประตูออกมา
“มัวทำอะไรอยู่ คุณแม่ออกไปแล้ว เธอนี่ ไม่ได้เรื่องจริงๆ” ตรัยตำหนิเสียงเข้ม สายตาจับจ้องไปที่เรือนร่างอรชรที่อยู่ตรงหน้า ประเมินด้วยสายตาว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมที่เพิ่มเติมคือความอิ่มเอมของเนื้อหนังมังสา ไม่ได้เรียกว่าอ้วน แค่อวบอิ่มน่ากอดน่าฟัดเท่านั้นเอง
ดวงตาคู่คมที่จับจ้องมาทำให้แก้มสาวร้อนวูบวาบ หัวใจเต้นแรงมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก สองปีแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียง ทว่าทุกคำยังย้ำชัดอยู่ในหัวสมอง เนื้อสาวร้อนผ่าวไปทั่วร่าง ภาพความทรงจำผุดชัด ราวกับเกิดขึ้นในเวลานี้
“นอนตื่นสายหรือไง เมื่อคืนมัวทำอะไรอยู่” ตรัยก้าวเข้ามาใกล้ๆ
“เปล่าค่ะ” สาวน้อยก้มหน้าปฏิเสธ ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาตรงๆ
แค่รู้ว่าเขายืนอยู่ห่างเพียงแค่ก้าวเดียว หัวใจมัสยาก็เต้นแรงเสียจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียง ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองบ้าง การกลับมาของเขาสร้างความหวั่นใจให้เธอเหลือเกิน
“แล้วมัวทำอะไรอยู่ในห้อง ถึงเพิ่งออกมา” ตรัยโน้มใบหน้าเข้ากระซิบถามข้างหู ลมหายใจอุ่นรดเฉียดแก้มสาวไปอย่างตั้งใจ เจ้าของแก้มร้อนวูบวาบเนื้อตัวสั่นสะท้าน ลมร้อนจากปลายจมูกนี้ไม่ใช่หรือ ที่ทำหน้าที่เจ้าของแทนเจ้าตัวที่หายหน้าไปนานถึงสองปี
“บอกมาสิ ว่าทำอะไรอยู่ในห้อง คุยโทรศัพท์กับใครหรือว่าแชทไลน์เพลิน” เขาแกล้งยื่นหน้าเข้ามาถามอีกครั้ง ลมหายใจอุ่นจดจ่ออยู่ที่ข้างแก้มนานกว่าทุกครา ก่อนที่ปลายจมูกนั้นจะเฉียดสัมผัสผิวเนื้อสาวไปต่อหน้าต่อตา
มัสยาสะดุ้ง เงยหน้าแล้วรีบหลบตาเมื่อเห็นรอยยิ้มพอใจที่มุมปากของตรัย สายตาเจ้าเล่ห์ที่บ่งบอกว่าชนะ ทำให้แก้มสาวร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง ทางเดียวที่จะทำได้คือหาทางเลี่ยงจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
“มัสขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเช้าลงไปช่วยคนสวนจัดการเรื่องกิ่งไม้ที่หักหลังบ้านค่ะ” มัสยาพูดพลางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พร้อมกับเตรียมจะเดินหนีไปทางอื่น แต่ตรัยไม่ยอมให้ไปไหน เขาคว้าตัวเธอไว้แล้วรั้งเอวสวยเข้ามาในอ้อมแขน
“คุณตรัย ปล่อยค่ะ” สาวน้อยสะดุ้ง พยายามดิ้นเอาตัวเองออกจากอ้อมแขนที่รัดแน่นนั้น
“ไม่ปล่อย” เขาแกล้งรัดให้แน่นกว่าเดิม
มัสยาดิ้นพยายามเอามือดันตัวเองออกห่าง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเพราะยิ่งดิ้นตรัยก็ยิ่งรัด กลายเป็นว่าตนเองตกอยู่ในอ้อมกอดเขาโดยปริยาย
“ปล่อยค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็น” มัสยาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับขอร้อง คงไม่ดีแน่หากใครในบ้านมาเห็นความใกล้ชิดเกินงามเช่นนี้
“กลัวใครมาเห็น หรือว่ากลัวใจตัวเองกันแน่” ใบหน้าคมโน้มลงมาใกล้ ลมหายใจอุ่นรดอยู่ที่ปลายจมูกสวย หัวใจมัสยาหล่นวูบตกลงไปที่ตาตุ่ม เนื้อตัวอ่อนปวกเปียกทำอะไรไม่ถูก
“คุณตรัย อย่าแกล้งมัสเลย ปล่อยก่อนนะคะ”
“ฉันเคยแกล้งเมื่อไร ลืมแล้วหรือไงว่าคนอย่างตรัย พูดจริงทำจริง”
มัสยาไม่เคยลืมเลยสักนิด และรู้ดีแก่ใจกว่าใครเลยด้วยซ้ำว่า คนที่พูดทำทุกอย่างตามที่ตนเองเอ่ย นอกจากนั้นยังบังคับให้คนอื่นต้องทำตามที่ตัวเองพูดด้วย
“รู้ค่ะ” มัสยาตอบเสียงแผ่ว ไม่กล้าต่อปากต่อคำอะไรอีก
คนในอ้อมกอดทำให้ตรัยหายเหนื่อยจากการเดินทาง เขาคลายอ้อมแขนที่โอบรัดมัสยาไว้ให้ได้เป็นอิสระ
“ไปหาอะไรมาให้กินหน่อยสิ เอาเข้าไปให้ในห้องด้วยนะ ฉันหิว” แล้วตรัยก็หันหลังเดินกลับเข้าห้องไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มัสยารู้ว่าต้องทำอะไรต่อ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องอาหาร แต่อยู่ที่ว่าทำอย่างไรถึงจะได้ไม่ต้องเอาเข้าไปให้ในห้องต่างหาก ตรัยไม่ใช่คนใจยักษ์น่ากลัวอะไร ตรงกันข้ามเขาคือคุณตรัยที่แสนใจดีและอ่อนโยนกับทุกคนต่างหาก เพียงแต่...
เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน กรงขังน้อยๆ ที่มาพร้อมคำสั่งที่แสนเด็ดขาด จากการกระทำที่แสนร้อนแรงและวาบหวามบนเรือนร่างนี้ของเธอ มัสยาไม่เคยลืมและยึดถือคำสั่งนั้นอย่างเคร่งครัดจนวันนี้ พร้อมจดจำคำพูดสุดท้ายก่อนไปได้ดีว่า เมื่อใดที่ตรัยกลับมา หากเธอไม่รักษาคำสั่งนี้ไว้ เมื่อนั้นชีวิตของมัสยาจะไม่เป็นสุขแน่ ทว่า หากรักษาสัญญาเล่า จะเกิดอะไรขึ้น!
มัสยารีบเข้าไปในครัวลงมือทำข้าวต้มหมูสับพร้อมกับชงกาแฟอีกหนึ่งแก้ว ทุกอย่างพร้อมเสิร์ฟอยู่ในถาดรอแค่มีคนยกขึ้นไปเท่านั้น หญิงสาวยืนมองสองจิตสองใจว่าจะยกขึ้นไปเอง หรือหาใครขึ้นไปแทน
“น้อยจ๊ะ รบกวนยกขึ้นไปให้คุณตรัยที่ห้องหน่อยได้ไหม” มัสยาเหลือบไปเห็นเด็กรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาในครัวพอดี
“ค่ะ คุณมัส” น้อยกุลีกุจอมารับถาดอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วรีบเอาขึ้นไปที่ห้องตรัยทันที มัสยาได้แต่ลุ้นว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย แต่แล้วไม่ถึงห้านาทีน้อยก็วิ่งกลับมาด้วยสีหน้าแตกตื่นจนเธอพลอยตกใจไปด้วย
