บทที่ 11 ของฟรีไม่มีในโลก
อาโปไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินคำขอโทษออกมาจากปากผู้ชายคนนี้ ปกติก็ปากปีจอเถียงไม่หยุด แต่ครั้งนี้กลับเอ่ยคำขอโทษขึ้นมาเอง
“บอกมา! ทำไมต้องทุบกระจกจนแตกกระจายแบบนั้นด้วย ฉันไม่ยอมเจ็บตัวฟรีหรอกนะ นายต้องบอกเหตุผลที่ทำมาเดี่ยวนี้” เธอจ้องเขาตาเขม็ง
ธันวาใช้นิ้วดีดหน้าผากเธอไปหนึ่งที
“โอ๊ย! หน้ามาดีดหน้าผากฉันทำไม? ไม่ตอบก็ไม่ต้องตอบสิ! ไม่เห็นต้องลงไม้ลงมือเลย มันเจ็บนะ!” เธอตะคอกอย่างขุ่นเคือง
“ก็บอกแล้วว่าไม่มีเหตุผลที่ทำ ยังจะมาถามเซ้าซี้อีก ขอโทษก็ขอโทษไปแล้ว ยังจะถามเอาอะไรอีก”
“ที่นายไม่กล้าบอกเพราะกลัวถูกฉันล้อล่ะสิ” เธอจ้องหน้าเขาแล้วยิ้มเยาะ “ยังไง..หรือว่านายอกหักใช่ไหม” เธอยิ้มดวงตาเป็นประกาย
ธันวาจ้องตาเธอแล้วเงียบ อาโปจึงมั่นใจว่าเธอเดาถูกแล้ว
“อกหักจริงเหรอ?” เธอหุบยิ้มเล็กน้อย แต่น้ำเสียงก็ยังยั่วแหย่เขาอยู่
ธันวาหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ “ก็ไม่ถึงกับอกหักหรอก ความจริงฉันกับนาราก็เลิกติดต่อกันไปหลายปีแล้ว แต่วันนี้มารู้ว่าเธอกำลังจะหมั้นแล้ว” น้ำเสียงเนือยๆ จนแทบไม่ได้ยิน
“นายยังรักเธออยู่เหรอ?” อาโปสงสารและเห็นใจเล็กน้อย
“ฉันขอเตือนเธออีกครั้งนะว่าอย่าได้คิดหวังว่าฉันจะหันมามองเธอ แม้นาราจะแต่งงานหรือมีลูกไปแล้วฉันก็ไม่มีวันที่จะหันมามองเธอแน่นอน”
“เอ๊ะ! ใครจะสนว่านายจะชอบหรือไม่ชอบฉันกัน” อาโปเสียอารมณ์ พึ่งรู้สึกสงสารหรือเห็นใจเขาอยู่หยกๆ
“ฉันกับนารารักกันมาก และฉันรู้ว่าเธอไม่มีวันรักใครได้มากกว่าฉันอีกแล้ว” เขาเอ่ยอย่างมั่นใจ
“นายรักเธอมากเลยเหรอ?” เธอถามด้วยน้ำเสียงกระซิบ
“ฉันกับนาราคบกันตั้งแต่เรียนมัธยมต้น รู้จักนิสัยของกันและกันดีมาก และที่เธอแอบหักหลังฉันก็เพราะถูกพี่ชายข่มขู่”
ธันวาเล่าเรื่องระหว่างเขาและนาราให้อาโปฟัง เขาเล่าด้วยรอยยิ้มเมื่อนึกถึงวันเก่าๆ ที่ทั้งสองได้มีความสุขร่วมกัน จนทำให้อาโปไม่อยากทนฟังต่อ มันหวานจนเลื่อนเกินไป
“ฉันไม่รู้หรอกว่าการรักใครสักคนมันเป็นยังไง แต่ดูเหมือนนายจะรักเธอมากเลยนะ แม้ตอนนี้ที่เธอกำลังจะหมั้น นายก็ยังเล่าเรื่องความรักของนายได้อย่างมีความสุขอยู่เลย ถือว่านายคลั่งรักของจริง รู้ทั้งรู้ว่าเธอไม่ใช่ของนายแต่ก็ยังรักเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”
“เธอไม่เคยมีแฟนเหรอ?” ธันวาขมวดคิ้ว ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงอย่างเธอจะไม่เคยมีแฟน
อาโปส่ายหัว “ไม่อยากเชื่อใช่ไหมล่ะ?” เธอหัวเราะให้ตัวเอง “หากนายอยากหัวเราะก็หัวเราะไปเถอะ ครั้งนี้ฉันจะไม่โกรธ”
“ฉันเหนื่อย ขี้เกียจหัวเราะ หากผู้หญิงอย่างเธอมีแฟนสิถึงจะแปลก”
“เพราะพ่อฉันไม่เคยปล่อยให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้ฉันต่างหากล่ะ ไม่ยอมให้ฉันมีเพื่อนผู้ชายด้วย หากมีผู้ชายคนไหนเข้ามาใกล้ฉันท่านจะให้พี่น้ำมนต์ไล่ตะเพิดไปหมดทุกคน”
ธันวาพยักหน้าอย่างเข้าใจ อาโปเติบโตมาโดยที่ไม่มีมารดาคอยดูแลรักใคร่ ผู้เป็นบิดาจึงต้องดูแลและใส่ใจเป็นพิเศษ แต่เนื่องจากอาโปเป็นผู้หญิง คนเป็นบิดาจึงไม่ค่อยเข้าใจลูกสาวมากเท่าไหร่ ต้องให้น้ำมนต์ที่เป็นชายในร่างหญิงช่วยดูแลเป็นการส่วนตัวแทน
ธันวายังโชคดีที่บิดาและมารดาไม่เคยห้ามให้คบกับใคร แม้แต่ตอนที่เขากับนาราคบกันจนถึงขั้นพูดเรื่องแต่งงาน ท่านทั้งสองก็ไม่ได้ขัดขวาง ซ้ำยังรู้สึกยินดีด้วยซ้ำ
หากไม่เกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น ป่านนี้เขากับนาราคงได้แต่งงานจนมีลูกไปแล้ว
“หากเธอทำหน้าที่ของเธอเสร็จเรียบร้อย ฉันจะไม่ห้ามหากเธออยากจะไปที่ไหน”
“จริงเหรอ? ฉันนึกว่านายจะห้ามฉันซะอีก” ดวงตาเธอเป็นประกาย
“เธอเห็นฉันเป็นคนยังไง? ฉันไม่ใช่คนเลวร้ายที่จะกักขังใครไว้หรอกนะ” น้ำเสียงเขาขุ่นเคือง “แต่ฉันมีเรื่องอยากให้เธอช่วย”
‘หึ ของฟรีไม่มีในโลกจริงๆ ที่แท้ก็มีเรื่องให้ช่วยนี่เอง ไอ้คนเจ้าเล่ห์’
อาโปจ้องหน้าเขาแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจื่อน “มีเรื่องอะไรให้ช่วยล่ะ”
“ฉันจะพาเธอไปงานหมั้นของนาราด้วย อยากให้ช่วยแสดงให้เธอเห็นว่าเราสองคนนั้นรักใคร่กันมากเพียงใด”
“ได้ วันไหนล่ะ ฉันจะได้เตรียมตัว”
“อีกสองวัน แต่ตอนนี้เท้าของเธอเป็นแผล ดังนั้นสองวันนี้เธอก็อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร ฉันจะให้แม่บ้านมาทำงานแทน”
“หลังจากนั้นฉันยังต้องทำงานบ้านอีกเหรอ?”
อาโปไม่อยากทำงานบ้านอีกแล้ว เธออยากออกไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาดูโลกภายนอกบ้าง ห้าปีแล้วที่เธอไปอยู่ต่างประเทศและไม่ได้เห็นบ้านเมืองที่ประเทศไทยเลย พอกลับมาก็ยังไม่ทันได้ไปเที่ยวที่ไหนก็ถูกจับแต่งงานก่อนแล้ว
“อย่าลืมสิว่าเธอมีข้อตกลงอะไรกับฉัน? หากเธอทำตัวดีๆ บางทีฉันอาจจะพิจารณาใหม่อีกครั้งก็ได้” เขาบอกอย่างผู้ชนะ
“นายห้ามเปลี่ยนใจนะ” เธอจ้องเขาตาเขม็ง หลังจากนี้เธอจะทำตัวดีๆ จะพยายามไม่ต่อล้อต่อเถียงเขาอีก
“ก็ต้องดูอีกที”
“โอเค” อาโปรีบตอบตกลง แค่แสร้งทำดี เอาอกเอาใจเขาสักหน่อยก็ไม่เป็นไร ดีกว่าต้องทำงานเหนื่อยๆ ทุกวัน
“ถ้างั้น วันนี้ฉันจะแบ่งเตียงให้นายนอนก็ได้” เธอยิ้มแล้วปัดที่นอนให้เขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ธันวารู้สึกแปลกๆ ที่ได้ยินคำว่า ‘สามี’ ไม่ได้โมโหหรือรู้สึกดีแต่อย่างใด
“เพื่อชดเชยที่เธอได้รับบาดเจ็บ ฉันจะหยุดงานให้เธอหนึ่งสัปดาห์ก็แล้วกัน”
“จริงเหรอ” อาโปยิ้มจนตาเป็นประกาย เธอเผลอลุกขึ้นกระโดดบนเตียงอย่างลืมตัว
“โอ๊ยยยยย” เธอรีบนั่งลงกุมเท้าตัวเองอย่างเจ็บปวด
ธันวารีบจับเท้าเธอมาดูทันที “โง่หรือไง? เท้าเจ็บแล้วยังกระโดดโลดเต้นอีก เลือดซึมอีกแล้วเนี่ย” เขาบ่น มือก็แกะผ้าพันแผลไปด้วย
“ก็มันลืมตัวง่ะ” เธอทำหน้าย่นอย่างน่ารัก ธันวาจ้องหน้าเธอแล้วรีบหันกลับมาดูแผลทันที
ธันวาต้องทำแผลให้อาโปใหม่อีกครั้ง เขาอยากจะด่าและบ่นมากกว่านี้ แต่ก็ห้ามใจเอาไว้ เพราะที่เธอต้องเจ็บตัวแบบนี้ก็เป็นเพราะเขาเหมือนกัน
“นอนได้แล้ว” เขาบอกแล้วเอากล่องปฐมพยาบาลไปเก็บ
“ขอบคุณนะคะสามี” เธอยิ้มจนแก้มปริ มองดูแบบนี้เขาก็เป็นสุภาพบุรุษอยู่เหมือนกัน ‘หากไม่ปากปีจอก็คงจะดีกว่านี้’
เช้าวันต่อมา
อาโปตื่นมาข้างกายก็ไม่เห็นธันวานอนอยู่แล้ว ‘เขาออกไปทำงานแล้วเหรอ’ เธอมองดูเท้าของตัวเองก็เหมือนว่ามันถูกทำแผลใหม่แล้ว
อาโปค่อยๆ เดินไปเข้าห้องน้ำแล้วจัดการตัวเอง เมื่อออกมาก็เห็นแม่บ้านกำลังทำความสะอาดห้องอยู่ เธอจึงยิ้มทักทาย
“สวัสดีค่ะ” อาโปเอ่ย
“สวัสดีค่ะ ตื่นแล้วเหรอคะ” แม่บ้านทักทาย
“ค่ะ” เธอพยักหน้า
‘ผู้ชายคนนี้พูดจริงแฮะ’ อาโปยิ้มอย่างมีความสุข อาทิตย์นี้เธอไม่ต้องทำงานบ้านเอง
แม้จะมีแม่บ้านมาทำความสะอาด แต่หน้าที่ในการทำอาหารเธอก็ต้องทำเองอยู่ดี อาโปตื่นมาก็รู้สึกหิวแล้ว จึงไปห้องของน้ำมนต์เพราะไม่อยากทำอาหารเอง
อาโปกดกริ่งหน้าห้อง ไม่นานน้ำมนต์ก็มาเปิดประตูห้องให้
“อ้าว เท้าไปโดนอะไรมา?” น้ำมนต์ถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นผ้าพันแผลที่เท้าของเธอ
“เหยียบใส่เศษแก้วค่ะ แต่ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แผลเล็กนิดเดียว” อาโปตอบ น้ำมนต์ก็พยุงเธอไปนั่งที่โซฟา
“ทำไมถึงเหยียบเศษแก้วได้ล่ะ? ทะเลาะกันเหรอ?” สีหน้าของน้ำมนต์ดูกังวลมาก กลัวว่าธันวาจะลงมือทำร้ายอาโปจริง
“ไม่ได้ทะเลาะกันค่ะ เขาหงุดหงิดที่ได้ข่าวว่าคนรักกำลังจะหมั้น เลยปาของใส่กระจกจนแตก ฉันไม่ระวังเลยเหยียบใส่น่ะ”
“ไม่ระวังตัวเองบ้างเลย! เมื่อไหร่เธอจะโตสักที” น้ำมนต์ดุ
อาโปยิ้มเหยเก “พี่กับนายนั่นเหมือนกันเลย ชอบดุใส่ฉันจัง”
