ชีวิต3
นั่งรอไม่นาน เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็ถือเอกสารเข้ามาในห้อง พร้อมกับบุรุษพยาบาลและรถเข็นหนึ่งคัน
หลังจากคนเป็นแม่กรอกเอกสารเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็พาหญิงทั้งสองไปยังห้องพักของผู้วายชนม์ทันทีอย่างไม่ให้เสียเวลา
เมื่อออกมาจากห้อง หญิงทั้งสองก็เห็นว่าชายวัยกลางคนกำลังยืนสงบสติอารมณ์ตัวเองอยู่ที่หน้าห้อง
“จะไปไหนกัน” คนเป็นสามีขมวดคิ้วถามภรรยาเสียงขรึม หลังเห็นทั้งสองออกมาจากห้อง
“เราจะไปขอบคุณแม่หนูคนนั้นกันน่ะค่ะ” คนเป็นภรรยาตอบกลับเสียงแผ่วด้วยแววตาเศร้าสลด
เห็นแววตาเศร้าสลดของผู้เป็นภรรยา คนเป็นสามีจึงเดินเข้ามาโอบไหล่ปลอบใจเอาไว้ไม่ให้เศร้าเสียใจมากไปกว่านี้ พร้อมเดินเคียงข้างไปด้วยกันกับอีกฝ่ายอย่างห่วงใยคนรัก
นั่งรถเข็นมายังห้องพักของผู้วายชนม์ได้สักพัก ซันนี่ก็อดเงยหน้าขึ้นถามหญิงวัยกลางคนออกมาไม่ได้ “ญาติของเธอจะมาวันไหนคะ”
“วันนี้ละจ้ะ พี่ชายหนูไปรับอยู่ ลูกไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ พวกเราจะดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี” ผู้เป็นแม่บอกยืดยาวให้ลูกสาวได้สบายใจ เพราะกลัวว่าคนเป็นลูกจะคิดโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุให้อีกฝ่ายต้องจากไป แม้มันจะเกี่ยวข้องกันจริงๆ ก็ตาม
“ค่ะ” ซันนี่ตอบรับเสียงแผ่ว แล้วนิ่งเงียบไปอีกครั้ง อย่างตั้งตารอให้ถึงห้องพักของใครอีกคนโดยเร็วด้วยใจจดจ่อ
หลังจากตั้งตารอให้ถึงห้องพักของอีกฝ่ายไปได้ไม่เท่าไหร่
ไม่รู้ทำไม ยิ่งเข้าใกล้จุดหมายมากแค่ไหน ภายในใจซันนี่ก็ยิ่งรู้สึกปั่นป่วนเพราะความหวาดกลัวมากเท่านั้น กลัวว่าทุกอย่างจะเป็นเรื่องจริงตามที่หญิงวัยกลางคนบอกมา
ทว่าถึงจะหวาดกลัวมากมายเพียงไหน ซันนี่ก็ทำได้เพียงสูดลมหายใจเข้าปอดลึก เพื่อปลอบใจตัวเองเท่านั้น เพราะต้องการมาดูให้เห็นกับตาว่าคนที่เธอไปช่วยมานั้นจะมาเป็นเธอได้ยังไง
นั่งรถเข็นมาพร้อมอาการใจเต้นตุ้บๆ ต่อมๆ นานพักหนึ่ง
ก็มาถึงห้องพักอันเงียบสงบของผู้วายชนม์ยังชั้นล่างสุดของโรงพยาบาล
เมื่อมาถึง เจ้าหน้าที่ประจำห้องพัก ก็เปิดห้องให้พวกเธอเข้าไปไม่รอช้า ด้วยว่าได้รับการประสานมาก่อนหน้านั้นแล้ว
ฉับพลันที่ประตูห้องถูกเปิดอ้าออก กลิ่นน้ำยาฉุนกึกและอากาศเย็นเยียบก็พุ่งเข้าปะทะร่างทุกคนทันที เป็นอย่างนี้ชายวัยกลางคนจึงขอให้พยาบาลสาวพาภรรยาสุดที่รักออกไปจากห้องก่อน อย่างกลัวว่าภรรยาจะทนไม่ไหว และกลัวว่าอีกฝ่ายจะมีภาพจำติดตา
ส่วนคนที่นั่งอยู่บนรถเข็น หลังถูกบุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นพาเข้ามาในห้องแล้ว ก็เห็นว่ามีร่างไร้ลมหายใจนอนคลุมโปงแน่นิ่งอยู่บนเตียงตรงกลางห้อง จึงมองร่างตรงหน้าตาไม่กะพริบอยู่อย่างนั้น ด้วยอาการวูบไหวใจสั่น เพราะความหวาดหวั่นได้เพิ่มขึ้นมามากกว่าเดิม
ยิ่งเห็นว่าบุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นพาตัวเองเข้าใกล้ร่างตรงหน้ามากเท่าไหร่ ซันนี่ก็ยิ่งหายใจไม่ออกด้วยความเคร่งเครียดและหวาดกลัวว่าจะเป็นจริงมากเท่านั้น
จนกระทั่งบุรุษพยาบาลเข็นรถมาถึงร่างตรงกลางห้อง ซันนี่ก็นั่งจ้องร่างไร้ลมหายใจอยู่อย่างนั้นอย่างไม่กล้าเปิดผ้าคลุมหน้าออก
นั่งจ้องร่างไร้ลมหายใจตรงหน้าได้สักพัก คนนั่งจ้องก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึก เพื่อข่มกลั้นอาการหวาดกลัวของตัวเองลง แล้วค่อยๆ ยื่นมืออันสั่นเทาออกไปเปิดผ้าคลุมสีขาวขึ้นดู
ทว่าวินาทีที่ยื่นมือออกไปจับผ้า สายตาของซันนี่ก็สะดุดเข้ากับมือและแขนเรียวเล็กทั้งขาวผ่องตรงหน้า จึงเบิกตากว้างขึ้นมาด้วยความตกใจ เนื่องจากไม่เคยเห็นมือขาวเนียนนี้เลยสักครั้ง
ซึ่งหลังจากเห็นมือขาวเนียน ซันนี่ก็อดที่จะเลื่อนสายตาลงไปมองยังเตียงสเตนเลสที่อยู่ตรงหน้าด้วยไม่ได้
ก็เห็นว่าภาพที่สะท้อนกลับมาเป็นใบหน้ารูปไข่ ซึ่งมีแก้มอวบอิ่ม ริมฝีปากเป็นกระจับได้รูป รับกับจมูกโด่งสวย และดวงตากลมโตของสาวน้อยน่ารักที่ผลักเธอลงจากตึกไม่มีผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย จึงตกตะลึงไปทันที
“ทะ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ ทำไมฉันถึงมาอยู่ในร่างนี้ได้” คนตกตะลึงพึมพำเสียงแผ่ว ทั้งยกสองมือขึ้นมาคลำใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษที่ปรากฏอยู่บนเตียงสเตนเลส อย่างไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองมาอยู่ในร่างคนอื่นจริงๆ
ลูบคลำใบหน้าเย็นชืดไปได้สักพัก ผู้มาอยู่ในร่างคนอื่นก็พลันนึกถึงร่างไร้ลมหายใจตรงหน้าขึ้นได้ จึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความอึ้งงัน
“งะ งั้น” คนอึ้งงันงึมงำเสียงสั่น ร่างกายก็พลันเย็นเยียบ จนสั่นเทิ้มรุนแรงขึ้นมาเพราะความหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ ก่อนจะยื่นมือสั่นเทาออกไปหยิบผ้าขาวที่คลุมร่างไร้ลมหายใจตรงหน้าอยู่ออกอย่างกล้าๆ กลัวๆ เนื่องจากไม่อาจทำใจยอมรับได้อีกครั้ง
ขณะหยิบยกผ้าขาวบางตรงหน้าขึ้นมา ภายในใจซันนี่ก็พลันหนักอึ้งขึ้นมาด้วยอย่างยากจะยอมรับ จึงกลั้นใจตลบผ้าคลุมหน้าร่างไร้วิญญาณตรงหน้าออกในคราวเดียว
วินาทีที่ผ้าคลุมหน้าถูกเปิดออก ใบหน้าซีดเหลืองไร้สีเลือดที่แสนคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นสู่สายตา เห็นอย่างนี้คนเปิดผ้าก็เบิกตาค้างขึ้นมามากกว่าเดิมอย่างอึ้งตะลึง
“ไม่...ไม่จริง ฉันยังไม่ตายๆ ฮือๆ ฉันยังไม่ตาย...” ซันนี่กรีดร้องอย่างไม่อาจยอมรับว่าร่างตรงหน้าคือตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นมาเขย่าร่างที่นอนนิ่งอยู่โดยแรง
“เธอฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกให้ฟื้นขึ้นมา” ซันนี่เอ่ยทั้งน้ำตานองหน้า ไม่อาจยอมรับว่าตัวเองได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว
ฝ่ายคนเป็นพ่อที่ยืนอยู่ข้างๆเมื่อเห็นว่าอยู่ๆ ลูกสาวได้ลุกขึ้นมาเขย่าร่างไร้ลมหายใจจนรถเข็นสั่นไหวเสียงดัง ทั้งพร่ำพูดไม่เป็นภาษาด้วยท่าทางคลุ้มคลั่ง ก็รีบเข้าไปห้ามด้วยความตกใจ “อี้
หราน!”
พลางดึงตัวคนคลุ้มคลั่งออกห่างจากเตียงด้วย ทว่าตัวคนกลับฮึดฮัดปัดมือเขาออกเสียอย่างนั้น
“ปล่อยฉัน! อี้หราน ฟื้นขึ้นมาสิ ฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ” ซันนี่ตะโกนสั่งเสียงดังลั่น พร้อมฮึดฮัดสะบัดแขนทั้งสองข้างของตัวเองสุดกำลัง เพื่อหวังให้หลุดพ้นจากการจับกุมของชายข้างตัว โดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บที่ผุดพรายขึ้นมาเลยสักนิด
“อี้หราน มีสติหน่อยสิ!” คนเป็นพ่อตะโกนเรียกชื่อลูกสาวเสียงดัง หวังให้อีกฝ่ายได้สติ ทว่าคนเป็นลูกกลับดีดดิ้นขัดขืนไม่ยอมฟังคำของเขาเลยสักนิด ยังคงตะเบ็งเสียงที่ฟังไม่เข้าใจออกมาให้ได้ยินตามเดิม
เป็นอย่างนี้คนเป็นพ่อจึงตัดสินใจเข้ากอดรัดเอวลูกสาวจากทางด้านหลัง และอุ้มพาออกจากห้องไปไม่รอช้า ทว่าอีกฝ่ายกลับดีดดิ้นขัดขืนรุนแรงมากกว่าเดิม
“ฟื้นขึ้นมาสิอี้หราน ฟื้นขึ้นมาสิโว้ย ฮือๆ ฟื้นขึ้นมา!” ซันนี่ตะโกนเป็นภาษาไทยด้วยความเคยชินเสียงดัง ทั้งน้ำตานองหน้า พลางยกขาที่เป็นอิสระทั้งสองข้างขึ้นมาเกาะเกี่ยวและเขย่ารถเข็นไปด้วยอย่างไม่ยอมถอดใจ หลังจากออกแรงดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของชายวัยกลางคนอย่างไรก็ไม่เป็นผล จึงได้แต่ยกเท้าขึ้นมาเกาะเกี่ยวเอาไว้อย่างนี้ อย่างไม่ยอมออกห่าง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” เจ้าหน้าที่ประจำห้องพักผู้วายชนม์พร้อมบุรุษพยาบาลวิ่งหน้าตื่นเข้ามาถามด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเสียงโวยวายจากคนด้านใน หลังจากออกไปยืนรออยู่ด้านนอก เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวแก่บุคคลทั้งสอง
และเมื่อเข้ามาแล้ว ทั้งคู่ก็เห็นคนเจ็บโวยวายไม่เป็นภาษา ทั้งยกขาขึ้นเกาะเกี่ยวและเขย่าเตียงที่มีร่างไร้ลมหายใจนอนส่ายไหวไปตามแรงเขย่าโดยแรงอยู่ จึงรีบเข้ามาช่วยแกะขาของหญิงสาวออกคนหนึ่งและอีกคนก็เข้ามาเข็นเตียงออกห่าง
“ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉันสิโว้ย!ฮือๆ อี้หรานฟื้นขึ้นมา” ซันนี่โวยวายเสียงดัง ทั้งยื้อยุดตัวเองไว้ไม่ให้ชายวัยกลางคนอุ้มพาออกไปข้างนอกได้
“อี้หรานหยุด! พอได้แล้ว” คนเป็นพ่อสั่งเสียงดังทั้งลากลูกสาวออกมาด้านนอกอย่างทุลักทุเล เพราะแม้จะโมโหให้มากมายเพียงไหน แต่เมื่อเห็นอาการเสียใจของอีกฝ่าย เขาก็อดเจ็บร้าวไปด้วยไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณ” คนเป็นภรรยาถามด้วยความตกใจ ทั้งห่วงใย เมื่อเห็นสามีลากลูกสาวที่กำลังร้องไห้โวยวายไม่เป็นภาษาดั่งคนเสียสติไปแล้วออกมาจากห้อง
“คงจะเสียใจที่ตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้แม่หนูคนนั้นจากไปนั่นแหละ” คนเป็นสามีคาดเดาไปตามที่เห็น เพราะหลังจากลูกสาวเห็นหน้าร่างไร้ลมหายใจแล้วก็คลุ้มคลั่งขึ้นมาทันที จึงคิดว่าคนเป็นลูกคงจะทำใจไม่ได้เป็นแน่
ตอบจบ คนเป็นพ่อก็ลากลูกสาวกลับห้องพักต่อ เพื่อพาคนโวยวายไปสงบสติอารมณ์ ทว่าเพิ่งจะออกเดินมาได้ไม่กี่ก้าว เขาก็เห็นลูกชายที่ไปรับญาติของแม่หนูคนนั้นพร้อมผู้ช่วยส่วนตัวของตัวเองเดินมุ่งหน้ามาทางนี้พอดี
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” คนเป็นลูกชายที่เห็นความวุ่นวายอยู่ตรงหน้าก็รีบขอตัวจากกลุ่มคนด้านหลัง เข้ามาถามไถ่คนเป็นพ่อด้วยความสงสัย โดยมีกลุ่มคนด้านหลังเดินตามมาไม่ห่าง
“คงจะเสียใจที่ตัวเองเป็นต้นเหตุน่ะ” คนเป็นพ่อตอบไปตามที่คิด พร้อมออกแรงกอดกระชับลูกสาวเอาไว้แน่น จนเส้นเลือดข้างขมับปูดโปนขึ้นมา ด้วยว่าอีกฝ่ายดิ้นรนทุบตีเขาไม่ยั้งเลยสักนิด
“ปล่อยฉันนะ ฉันบอกให้ปล่อยไง” ซันนี่สั่งเป็นภาษาบ้านเกิดเสียงดัง ทั้งดิ้นรนทุบตีคนที่กอดรัดตัวเองจากทางด้านหลังเอาไว้แน่นสุดกำลัง อย่างไม่ยินยอมที่จะออกจากตรงนี้ ออกห่างจากร่างของตัวเอง
“ส่งเธอมาให้ผมก็ได้ครับ” คนเป็นลูกชายบอก เมื่อเห็นท่าทางเคร่งเครียดของคนเป็นพ่อ พร้อมยื่นมือออกไปรับตัวคนโวยวายตรงหน้า
