ชีวิตใหม่ ไม่ง่ายจริงๆ

108.0K · จบแล้ว
a lun阿伦
51
บท
782
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ตื่นมาอยู่ในร่างใหม่ ทำไมถึงได้มีแต่คนมารุมรักนะ... ชีวิตเดิม ซันนี่รักไม่ยุ่งมุ่งแต่เรียนเท่านั้น แต่หลังจากกระโดดเข้าไปช่วยเหลือสาวน้อยที่กำลังถูกฉุด จนวิญญาณหลุดออกไปอยู่ในร่างใหม่ ซันนี่ก็เจอทั้งพี่ชาย(ไม่แท้)สุดหล่อของเจ้าของร่างและรุ่นพี่ในมหาลัยมาแย่งชิงหัวใจของเธอเสียอย่างนั้น...OMG!แล้วอย่างนี้เธอจะทำยังไงดี ที่จู่ๆ ก็มาถูกรุมรักอย่างนี้

นิยายปัจจุบันตลกพลิกชีวิตดราม่าเกิดใหม่โรงแรม/มหาลัยนักศึกษาคนธรรมดา

ชีวิต1

บนดาดฟ้าที่สว่างเจิดจ้าของตึกสูงแห่งหนึ่ง

“คูณณณณ ใจเย็นๆ ก่อน อย่าเพิ่งคิดสั้น ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอนะคะ ขอแค่เราใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด” หญิงสาวที่เห็นสาวน้อยหน้าตาน่ารักคนหนึ่งยืนอยู่ริมตึกที่ไม่มีผนังกั้นกันพลัดตกร้องห้ามเสียงหลง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายกำลังจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย

“ด้านล่างมีคนทะเลาะกันคะ มาดูสิคะ” สาวน้อยหันมากวักมือเรียกคนห้ามให้มาดูเหตุการณ์ด้วยกันด้วยดวงตาใสแป๋วไม่มีวี่แววหวาดกลัวว่าจะตกลงไปเลยสักนิด

“อ้อ อย่างนี้นี่เองตกใจหมด” คนห้ามเอ่ยอย่างโล่งใจเพราะไม่ใช่อย่างที่คิด ก่อนจะเดินเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นบ้าง

ทว่าเพิ่งจะยืดคอออกไปมองเหตุการณ์ด้านล่างอย่างกล้าๆ กลัวๆ สาวน้อยน่ารักที่ยืนอยู่ข้างกันก็ผลักเธอลงจากตึกทันที

“อะ อ๊า...”

เมื่อฝันว่าถูกผลักลงจากตึกสูง หญิงสาวก็ผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ และฉับพลันที่ลุกขึ้นนั่ง อาการเจ็บแปลบรุนแรงที่หน้าอกด้านซ้ายก็เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน

“โอ๊ย !เจ็บฉิบหาย” คนลุกขึ้นนั่งสบถ พร้อมยกมือขึ้นมากุมบริเวณที่เจ็บเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด จนเหงื่อผุดซึมขึ้นมาเต็มใบหน้าและแผ่นหลัง

ขณะเดียวกัน หญิงชายวัยกลางคนที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง เมื่อเห็นคนเจ็บลุกขึ้นนั่งอย่างกะทันหัน ก็รีบเข้ามาถามไถ่อาการด้วยความเป็นห่วงทันที หลังจากที่อีกฝ่ายสลบไสลไม่ได้สติมาหลายวัน

“怎么样?” (เป็นอย่างไรบ้าง)

“你腥了” (ลูกฟื้นแล้ว)

สองคนสองคำ เป็นเหตุให้คนที่กำลังนั่งกุมหน้าอกอยู่บนเตียงได้แต่เงยหน้าขึ้นมองด้วยความมึนงงทั้งสงสัย เนื่องจากไม่รู้จักสองคนนี้

ส่วนหญิงชายทั้งสอง เมื่อได้เห็นสีหน้าเหลอหลางุนงงจากคนเจ็บ ก็ทำให้ฝ่ายหญิงที่เพิ่งจะมีสีหน้าดีใจขึ้นมา ได้กลับไปวิตกกังวลอีกครั้ง จึงรีบกดปุ่มเรียกหมอไม่รอช้า

รออยู่ครู่หนึ่ง หมอชายสูงวัยก็เข้ามาตรวจดูคนเจ็บที่ยังนั่งทำหน้าเหลอหลาอยู่บนเตียงดั่งคนทำอะไรไม่ถูกอยู่ และหลังจากตรวจเสร็จก็หันไปอธิบายกับญาติ....เป็นภาษาจีน

“ตอนนี้บาดแผลตรงหน้าอกยังคงบวมแดงอยู่มาก ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้แผลฉีกขาดและมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นมา อย่าให้คนเจ็บเคลื่อนไหวมากนะครับ ส่วนอาการอื่นๆ คงต้องรอดูอีกสักพักครับ” คุณหมอสูงวัยชายกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ เพื่อให้หญิงวัยกลางคนได้คลายใจ หลังจากเห็นสีหน้าวิตกกังวลจากอีกฝ่าย

“ขอบคุณครับคุณหมอ” ชายวัยกลางคนกล่าว แล้วส่งคุณหมอออกจากห้อง

ส่วนหญิงวัยกลางคน เมื่อคุณหมอพูดจบก็หันกลับมาจับจ้องคนที่นั่งอยู่บนเตียงตาไม่กะพริบอีกหน เพราะความวิตกกังวลไม่คลาย เนื่องจากสีหน้าของอีกฝ่ายนั้น ทำเหมือนไม่รู้จักเธอเลยสักนิด จึงยื่นมือออกไปลูบหัวคนเจ็บด้วยความรักใคร่ ห่วงใยมากมาย

ด้านคนถูกลูบหัวที่นั่งอยู่บนเตียง เมื่อเห็นมือผอมบางยื่นมาก็อดขมวดคิ้วมองคนยื่นมือมาลูบหัวตัวเองด้วยความมึนงงมากกว่าเดิมไม่ได้

จะไม่ให้มึนงงได้ยังไง เนื่องจากเธอไม่รู้จักใครสักคน อยู่ๆ ตื่นขึ้นมาก็เจอกับใครก็ไม่รู้แถมยังไม่พูด ภาษาไทย อีกต่างหาก อีกทั้งเมื่อมองสำรวจไปรอบๆ ห้อง ก็เห็นแต่ภาษาจีนติดอยู่เต็มไปหมด

ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

คนมึนงงคิดอย่างไม่เข้าใจ พลางเค้นสมองครุ่นคิดไปด้วย

นานพักหนึ่ง คนครุ่นคิดถึงนึกขึ้นได้

อ่า...ใช่แล้ว ฉันมาเรียนที่นี่ได้สามปีแล้ว เหลืออีกแค่ปีเดียวก็จะเรียนจบแล้ว อืม ไม่แปลกที่จะไม่มีใครพูดภาษาไทย

คนนึกขึ้นได้เอ่ยกับตัวเองในใจ พลางพยักหน้าไปด้วย อย่างรู้แล้วว่าทำไมรอบด้านถึงมีแต่ภาษาจีนเต็มไปหมดอย่างนี้

แต่ว่าสองคนนี้คือใคร ทำไมถึงนึกไม่ออก ในความทรงจำเหมือนจะไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ...อืม คงต้องถามแล้วล่ะ

คนเอ่ยกับตัวเองคิดในใจอย่างมึนงง เพราะนึกยังไงก็นึกไม่ออกว่า สองคนนี้เป็นใคร จึงถามออกมาด้วยความสงสัย “您是谁 ?” (พวกคุณเป็นใครคะ ?)

“...”

“พวกเราก็เป็นครอบครัวของหนูไงจ๊ะ นี่คือพ่อของหนู ส่วนฉันก็แม่ของหนูจ้ะ” ฝ่ายหญิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทั้งดึงตัวอีกฝ่ายเข้าไปกอดด้วยความรักใคร่และห่วงใยไม่หาย กลัวว่าจะสูญเสียลูกสาวไปไม่มีวันกลับ

“ลูกของพวกคุณ ? ” คนถามขมวดคิ้วทวนคำด้วยความงุนงงหนัก ว่าตัวเองไปเป็นลูกของอีกฝ่ายตั้งแต่เมื่อไหร่ จึงผละออกจากอกหญิงวัยกลางคน แล้วเอ่ย “ไม่ใช่นะคะ..เข้าใจผิดแล้ว หนูไม่ใช่ลู....”

ลูกของคุณยังไม่ได้ออกจากปาก หญิงสาวก็ถูกหญิงวัยกลางคนขัดขึ้นเสียก่อน

“คุณคะ เรียกหมอเถอะค่ะ ฉันไม่สบายใจเลยจริงๆ” ผู้เป็นภรรยาหันไปพูดกับคนข้างตัวด้วยความเคร่งเครียด วิตกกังวลมากขึ้นกว่าเดิม พูดจบ ก็หันมาทางลูกสาวด้วยอีกที “อี้หราน หนูอย่าเพิ่งพูดเลยนะจ๊ะ นอนพักผ่อนก่อนดีกว่านะ ลูกถูกทำร้ายบาดเจ็บมา อย่าเพิ่งพูดเยอะเลยนะ”

พลางดันตัวคนเป็นลูกให้นอนราบลงไปบนเตียงอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธหรือพูดสิ่งใดอีก

นอนรอหมออยู่สักพัก คุณหมอสูงวัยคนเดิมก็กลับเข้ามาตรวจดูอาการคนเจ็บอย่างละเอียดอีกที ก่อนที่จะหันไปแจ้งญาติอีกครั้ง

“สมองไม่มีการกระแทกหรือบาดเจ็บใดให้เห็นนะครับ น่าจะเกิดจากอาการตกใจจนช็อก เลยทำให้ลืมไปชั่วคราวน่ะครับ ผ่านไปสักระยะก็จะดีขึ้น” คนหมอสูงวัยคนเดิมวิเคราะห์ เนื่องจากผู้บาดเจ็บเพิ่งประสบเหตุร้ายแรงมานั่นเอง

“จริงเหรอคะ” ฝ่ายหญิงถามอย่างไม่วางใจ ใบหน้ายับยุ่ง

“ครับ” คุณหมอยืนยันเสียงหนักให้คนถามได้วางใจ

“ค่ะ ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ” หญิงวัยกลางคนตอบกลับด้วยสีหน้ายับยุ่งตามเดิม เพราะแม้จะได้รับคำยืนยัน แต่เธอก็ยังไม่วางใจอยู่ดี เนื่องจากสายตาของลูกสาวในตอนนี้ยังคงมองเธอด้วยสายตางุนงงเหมือนคนไม่รู้จักกันเช่นเดิม จึงอดที่จะวิตกอยู่อย่างนี้ไม่ได้

ส่วนคนเป็นสามี เมื่อเห็นว่าภรรยายังคงมีสีหน้าวิตกกังวลอยู่ จึงยกแขนขึ้นโอบไหล่ปลอบใจคนรักเอาไว้อย่างรักใคร่ห่วงใยพร้อมเอ่ย “อี้หรานเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาจึงอาจจะยังมีอาการมึนงงอยู่ก็เป็นได้ ให้เขาพักผ่อนเยอะๆเดี๋ยวก็ดีขึ้นเองแหละ”

“ค่ะ” คนเป็นภรรยาตอบรับคำปลอบใจเสียงแผ่ว แววตาเศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก เพราะไม่อาจวางใจได้เลยจริงๆ

ฝ่ายคนเจ็บกลับเอาแต่นอนขมวดคิ้วครุ่นคิดด้วยความสงสัย ว่าตัวเองมาเป็นลูกของทั้งสองคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ด้วยจำได้ดีว่าตัวเองชื่ออะไร

เธอชื่อซันนี่ อายุย่างยี่สิบสองปี เป็นนักศึกษาจากประเทศไทย มาเรียนต่อที่นี่ เพื่อมาตามรอยซีรี่ส์ที่เธอหลงใหล แล้วเธอจะมาเป็นลูกของอีกฝ่ายได้ยังไงกัน

หญิงสาวครุ่นคิดกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะหลับตาลง เค้นสมองนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้

จำได้ว่า.....ตอนนั้นเรากำลังเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปตามถนนบนภูเขาหลังวัดอยู่ จู่ๆ เราก็ถูกกลุ่มคนหน้าตาดุดันห้าหกคน กรูเข้ามารุมล้อมไว้ แล้วเราที่อยู่ตรงกลางจะหลบไปไหนก็ไม่ได้ ได้แต่ถอยหลังเข้าไปในพงหญ้าข้างทางที่เป็นทางลาดชันเท่านั้น

และขณะที่กำลังถอยหลังด้วยความหวาดกลัวอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีชายรูปร่างสูงใหญ่มาจากไหนไม่รู้สองคน วิ่งเข้ามากระโดดถีบอันธพาลกลุ่มนี้เสียหลักล้มลงไปบางส่วน แล้วก็เกิดการตะลุมบอนกันขึ้น เห็นอย่างนี้เราจึงรีบหันหาทางเพื่อจะวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้

แต่ขณะที่กำลังหันหาทางเพื่อวิ่งหนีเอาตัวรอดอยู่นั้น สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นสาวน้อยหน้าตาน่ารักเหมือนคนในฝันกำลังยืนตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวอยู่ไม่ไกล

เห็นอย่างนี้เธอก็เข้าใจแล้วว่า ทั้งสองคนนั้นคงจะมาเพื่อปกป้องสาวน้อยคนนี้อย่างแน่นอน จึงอดหันกลับไปมองกลุ่มคนที่กำลังตะลุมบอนกันอยู่ไม่ได้ แล้วก็เห็นว่าชายตัวสูงใหญ่ทั้งสองกำลังต่อสู้อย่างสุดกำลังอยู่

แน่นอนว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ไม่นานก็มีคนที่หลุดจากการตะลุมบอนมาคนหนึ่ง วิ่งตรงเข้ามาฉุดกระชากสาวน้อยน่ารักคนนั้นทันที เห็นดังนี้เธอจึงกระโดดเข้าไปช่วยสาวน้อยตรงหน้าไม่รอช้า ด้วยถูกสอนมาว่าเห็นคนเดือดร้อนต้องช่วยเหลือ

พูดถึงต่อยตีธรรมดาก็พอได้ แต่นี่..นักเลงมืออาชีพเลยนะ เมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้ ก็ต้องหนี แต่ใครจะทันได้คิดล่ะ ว่านักเลงเหล่านี้มีอาวุธกันหรือเปล่า วิ่งหนีได้ไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น...ต่อมา...ต่อมา ก็จำอะไรไม่ได้แล้ว ว่ากระสุนนัดนั้นยิงโดนใคร

โอ๊ยๆ ๆ ๆ ปวดหัว คราวเคราะห์จริงๆ เลย ลองถามลุงกับป้าสองคนนี้ดีไหมนะ

คนหลับตานึกถึงเรื่องราวเอ่ยกับตัวเองในใจ ทั้งลืมตาขึ้นมองสองคนที่นั่งอยู่ข้างเตียง แล้วก็เห็นว่าทั้งคู่ นั่งทำหน้าเคร่งขรึมกันอยู่ด้วยท่าทางไม่สบายใจ จึงถอนหายใจออกมา

เฮ้อ...แล้วจะถามยังไงดีล่ะ นั่งหน้าเศร้ากันอยู่แบบนั้น ดีนะ เรียนที่นี่มาตั้งสี่ปีแล้ว ไม่งั้นกลุ้มใจตายเลย เพราะคุยกับใครไม่รู้เรื่อง

ซันนี่หลับตาพึมพำกับตัวเองในใจอีกครั้ง พึมพำจบก็พลันนึกขึ้นได้

อะ เมื่อกี้... เราเจ็บตรงนี้

คนนึกขึ้นได้เอ่ยกับตัวเองในใจ พลางยกมือขึ้นกุมบริเวณที่เจ็บ ทั้งเอ่ย “ฉันถูกยิง !”