ชีวิต2
เมื่อรู้ตัวแล้วว่าโดนยิง ความรู้สึกเจ็บก็ถาโถมเข้ามาหนักหน่วง จนเหงื่อผุดซึมขึ้นมาท่วมตัวอีกครั้ง
ด้านทั้งสองคนที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง เมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ ของลูกสาว ก็วิตกร้อนใจขึ้นมา ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกมา จู่ๆ คนที่นอนหลับอยู่ก็ลืมตาขึ้นมองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยสีหน้าแตกตื่น และถามเสียงแหบแห้งออกมาเสียก่อน
“ฉันถูกยิง” ซันนี่เอ่ยอย่างอึ้งงัน
คนเป็นแม่พยักหน้าให้แทนคำตอบอย่างสงสารลูกสาวจับใจ
“แล้วคนที่ฉันไปช่วยละคะ” ซันนี่รีบร้อนถามออกมาอีกครั้งด้วยความวิตกกังวลว่าคนที่ตัวเองไปช่วยจะเป็นอะไรไป
บ้าเอ๊ย อุตส่าห์เสี่ยงชีวิตไปช่วยแท้ๆ หวังว่าเธอจะไม่เป็นไรนะสาวน้อย
คนวิตกคิดกับตัวเองในใจ พร้อมภาวนาให้ผู้ที่ตัวเองไปช่วยปลอดภัยด้วยอีกต่างหาก
ส่วนทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างเตียง เมื่อได้ยินคำถามก็หันมองหน้ากันเลิ่กลั่กทันที ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายตอบออกมา
“คนที่มาช่วยหนูต่างหากละจ้ะ หนูเกือบโดนคนชั่วพวกนั้นจับตัวไป โชคดีที่แม่หนูคนนั้นมาช่วยลูกเอาไว้ ไม่อย่างนั้นแม่คงไม่รู้ว่าจะได้เจอกับหนูอีกไหม” คนเป็นแม่เอ่ยเสียงอ่อน พลางยื่นมือเข้าไปลูบผมสีดำนุ่มนิ่มของลูกสาวไปด้วยอย่างรักใคร่ หวงแหน
“ฮะ?คนที่มาช่วย” ซันนี่ขมวดคิ้วอุทานออกมาด้วยความงุนงงหนัก หลังได้ยินคำว่าคนที่มาช่วย
"ใช่จ้ะ คนที่มาช่วย" คนเป็นแม่ยืนยันเสียงหนักด้วยสีหน้าจริงจัง
ได้รับคำยืนยัน คนฟังก็ยิ่งงงงันเข้าไปใหญ่
เป็นไปได้ยังไง ฉันจะกลายเป็นคนที่ตัวเองเข้าไปช่วยได้ยังไง
ซันนี่คิดกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจหนัก จึงแอบหยิกต้นขาของตนเองที่อยู่ใต้ผ้าห่มดู เผื่อว่าจะแค่ฝันไป
โอ๊ยเจ็บ !
คนหยิกขาตัวเองร้องเสียงหลงในใจด้วยความเจ็บจี๊ดจนน้ำตาคลอขึ้นมา
มันจะเป็นความจริงไปได้ยังไง ในเมื่อฉันเป็นฝ่ายเข้าไปช่วยเหลือแท้ๆ
ซันนี่คิดอย่างไม่เข้าใจหาเหตุผลไม่ได้ จึงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงไว้อย่างคิดอะไรไม่ออก
คลุมโปงไปได้สักพัก ซันนี่ก็เปิดผ้าห่มออกมาถามสองคนข้างเตียงอย่างนึกขึ้นได้ “แล้วคนที่ช่วยฉันตอนนี้อยู่ที่ไหน เธอเป็นยังไงบ้าง”
“แม่หนูคนนั้น เธอ เธอ...จากไปแล้ว...” คนเป็นแม่ตอบเสียงพร่า ทั้งน้ำตานองหน้าด้วยความเศร้าสะเทือนใจไม่หาย พลอยทำให้คนเป็นสามีต้องโอบไหล่ปลอบใจไว้ไม่ให้เศร้า
“ฮะ?จากไปแล้ว !? จากไปไหน” ซันนี่ขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ รู้สึกสมองตื้อตันไปหมด จนประมวลผลไม่ได้
“แม่หนูคนนั้น...ไปสวรรค์แล้วจ้ะ ตอนนี้พวกเรากำลังรอญาติๆ ของเธอมารับกลับบ้านอยู่...แม่หนูคนนั้นมีบุญคุณกับบ้านเรามาก ถ้าไม่มีแม่หนูคนนั้น ป่านนี้....ป่านนี้ แม่คงไม่ได้เจอหน้าลูกอีกแล้ว แม่จะชดเชยเขาให้ดีที่สุด”
ยิ่งพูดคนเป็นแม่ก็ยิ่งน้ำตาไหลพรากออกมาด้วยความเศร้าสะเทือนใจ เมื่อนึกถึงหนึ่งชีวิตที่จากไป
ดั่งถูกสายฟ้าเส้นใหญ่ ฟาดกระหน่ำใส่ร่าง พลอยทำให้คนถูกกอดตัวแข็งค้างไปทันทีอย่างยากจะยอมรับ พลางทวนคำพูดหญิงวัยกลางคนด้วยความอึ้งตะลึง “ไปสวรรค์แล้ว”
ซันนี่เอ่ยเสียงแหบพร่า แค่ได้ฟังว่าถูกคนมาช่วยไว้ ก็ทำให้อึ้งตะลึงมากพอแล้ว นี่ยังมาได้ยินว่าจากไปแล้วอีก จึงช็อกไปทันที สีหน้าที่ว่าซีดขาวแล้วจึงยิ่งซีดหนักเข้าไปใหญ่
“ใช่จ้ะ” คนเป็นแม่ยืนยันเสียงสั่นเครือเพราะอาการสะอื้นไห้
“ไปสวรรค์ได้ยังไง !ฉันยังไม่ตาย ฉันไม่เชื่อ !พวกคุณโกหก ไม่ได้ ฉันต้องไปดูให้เห็นกับตา” ซันนี่โวยวายเสียงดังอย่างไม่ยอมรับ พลางดึงเข็มอันเล็กที่เสียบอยู่บนหลังมือออก และร้อนรนจะลงจากเตียงไปดูให้เห็นกับตา ว่าเรื่องราวบ้าๆ นี้เป็นมาอย่างไรกันแน่
“แม่ไม่ได้โกหก เธอจากไปแล้วจริงๆ ตอนนี้พวกเรากำลังรอญาติๆ ของเธอมารับอยู่” ผู้เป็นแม่อธิบายอย่างร้อนใจ พร้อมดึงแขนลูกสาวเอาไว้แน่นด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นอีกฝ่ายรีบร้อนจะลงจากเตียงไป ทั้งๆ ที่พึ่งจะฟื้นขึ้นมา
“ฉันไม่เชื่อ พวกคุณโกหก!” ซันนี่เสียงดังทั้งสะบัดมือหญิงวัยกลางคนออกโดยแรง จนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายน้ำตาไหลพรากออกมามากกว่าเดิมด้วยความเสียใจ ที่ลูกสาวแสดงอาการก้าวร้าวอย่างนี้
“อี้หราน” คนเป็นแม่เรียกชื่อลูกสาวเสียงแผ่ว ทั้งน้ำตานองหน้า ทว่าอีกคนกลับตวาดเสียงดังขึ้นมา
“หยุดก่อเรื่องวุ่นวายสักที” ชายวัยกลางคนเอ่ยด้วยความโมโห เมื่อเห็นภรรยาสุดที่รักถูกทำให้เสียใจ
“พวกคุณนั่นแหละหยุดโกหกสักที ฉันไม่ใช่...” ลูกของพวกคุณยังไม่ออกจากปาก ซันนี่ก็ถูกตวาดเสียงดังอีกหน
“หุบปาก” ชายวัยกลางคนตวาดด้วยความโมโหหนัก พลางจับจ้องคนเป็นลูกตาเขม็ง อย่างกลัวว่าหญิงสาวจะเอ่ยคำที่ทำให้ภรรยาช้ำใจออกมาอีก
“พวกคุณนั่น...” แหละ ยังไม่ได้ออกจากปาก ซันนี่ก็ถูกฝ่ามือของชายตรงหน้าฟาดลงยังแก้มทันทีด้วยความกรุ่นโกรธ
เพียะ!
“อี้หราน !คุณค่ะ!” คนเป็นแม่และภรรยาเรียกชื่อลูกสาวด้วยความตกใจ ก่อนจะหันไปห้ามสามีด้วยแววตาขอร้อง
“คุณตามใจเธอมากเกินไป จนเธอเสียคนไปแล้ว” ผู้เป็นสามีที่เห็นภรรยาสุดที่รักมองด้วยแววตาขอร้องก็ฮึดฮัดใส่ด้วยความขัดเคืองใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างไม่อยากจะสนใจอีก
หลังเห็นคนเป็นสามีจากไปแล้ว หญิงวัยกลางคนก็รีบขยับเข้าไปดูอาการลูกสาวทันทีด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บมากไหมลูก” คนเป็นแม่ถามเสียงแผ่ว พลางยกมือขึ้นลูบแก้มแดงเรื่อแผ่วเบาไปด้วยอย่างสงสารลูกสาวจับใจ นึกอยากจะให้ฝ่ามือนั้นฟาดลงมาที่ตัวเองเสียมากกว่า
ได้เห็นแววตารักใคร่และห่วงใยมากมายจากหญิงวัยกลางคน ซันนี่ก็พลันนึกถึงแม่ตัวเองขึ้นมา ด้วยว่าแม่ของเธอก็รักเธอมากมายอย่างนี้เช่นกัน จึงเอ่ยเสียงเบาออกมาอย่างไม่ต้องการให้หญิงตรงหน้าเป็นห่วงมากไปกว่านี้ “ไม่เจ็บหรอกค่ะ”
“จริงเหรอ” คนเป็นแม่ถามอย่างไม่วางใจ
“จริงค่ะ” ซันนี่ยืนยันเสียงหนัก เพื่อให้อีกฝ่ายได้วางใจ เพราะแม้ชายวัยกลางคนจะฟาดฝ่ามือลงมาด้วยความโมโหหนัก ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ออกแรงจนทำให้เธอเจ็บมากขนาดนั้น
ซึ่งก็คาดว่าเป็นเพราะความรักของคนเป็นพ่อนั่นแหละ ถึงทำให้ชายวัยกลางคนไม่กล้าออกแรงเยอะอย่างนี้
คนถูกฝ่ามือฟาดคิดอย่างเข้าใจ
หลังได้รับคำยืนยัน คนเป็นแม่ก็วางใจขึ้นมา จึงตอบรับเสียงอ่อนออกมา “อืม หนูอย่าโกรธพ่อเขาเลยนะลูก”
“ค่ะ” ซันนี่รับคำอย่างว่าง่าย
เห็นลูกสาวว่าง่ายไม่โวยวายเหมือนเช่นเมื่อครู่แล้ว คนเป็นแม่ก็อดดึงอีกฝ่ายเข้าไปกอดด้วยความรักใคร่ไม่ได้ “เด็กดีจริงๆ”
พลางลูบหลังปลอบประโลมจิตใจคนในอ้อมกอดไปด้วย
ปล่อยหญิงวัยกลางคนกอดตัวเองไปได้สักพัก ซันนี่ก็เงยหน้าขึ้นขอร้องอีกฝ่าย “พาหนูไปหาเธอคนนั้นได้ไหมคะ”
“แต่ว่า...หนูเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา แล้วคุณหมอยังกำชับว่าไม่ให้เคลื่อนไหวเยอะด้วย อีกอย่าง แม่ก็ไม่รู้ว่าโรงพยาบาลเขาจะอนุญาตให้คนนอกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแม่หนูคนนั้นเข้าไปในห้องนั้นได้ไหม” คนเป็นแม่ท้วงเสียงอ่อนอย่างไม่อยากจะพาไป
“หนูไม่เป็นไรค่ะ หนูอยากไปขอบคุณเธอ คุณแม่ช่วยไปขอร้องโรงพยาบาลให้ได้ไหมคะ หนูอยากขอบคุณเธอจริงๆ” ซันนี่เอ่ยเสียงหนักเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่เป็นไร แม้ว่าในความเป็นจริงจะเจ็บร้าวไปทั้งร่างก็ตาม แต่เพราะต้องการไปดูให้เห็นกับตาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงได้แต่ขอร้องเสียงแผ่วออกมาเท่านั้น
“ก็ได้จ้ะ แม่จะลองขอโรงพยาบาลดู” คนเป็นแม่ตอบรับอย่างเข้าใจความรู้สึกของลูกสาวดี ว่าอีกฝ่ายคงจะอยากขอบคุณผู้ที่มาช่วยเหลือตัวเองจริงๆ
ตอบรับจบ คนเป็นแม่ก็หันไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนชั้นวางของข้างเตียงคนเจ็บ ขึ้นมากดโทรหาเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลทันที เพื่อขออนุญาตเข้าไปในห้องพักของผู้วายชนม์ เนื่องจากรู้ว่าวันนี้พ่อและแม่ของผู้ล่วงลับจะมารับร่างลูกสาวไปประกอบพิธีตามศาสนาแล้วนั่นเอง ดังนั้นเธอจึงไม่อิดออดที่จะทำตามความต้องการของคนเป็นลูก
หลังจากโทรไปแจ้งความประสงค์กับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว คนเป็นแม่ก็หันมาบอกกับคนเป็นลูก “คุณหมอบอก ว่าให้รอครู่หนึ่งเขาจะเอาเอกสารแจ้งความจำนงมาให้กรอกก่อนจ้ะ”
“ขอบคุณค่ะ” ซันนี่ตอบรับด้วยรอยยิ้มอ่อน แล้วนั่งรอเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเอาเอกสารมาให้กรอกเงียบๆ โดยมีคนเป็นแม่เข้ามายืนโอบกอดและลูบหัวลูบไหล่ปลอบใจด้วยความรักใคร่ห่วงใยไม่ห่าง
