ตอนที่ 5 จดหมายจากจวนแม่ทัพ
“พี่ใหญ่ข้าถามท่านจริง ๆ นะ วันนั้นท่านออกไปทำอะไรกันแน่ เหตุใดถึงออกไปเพียงลำพังทั้งยังไม่กลัวว่าท่านแม่จะโกรธอีก”
เด็กสาวเอ่ยข้างกาย สีหน้าอยากรู้อยากเห็น
วันนั้นหลังกลับมาถึงบ้าน นางถูกจิ้นจูเทศนาอย่างหนัก ทั้งที่กลับมาทันทำข้าวเที่ยงแต่ยังไม่วายถูกต่อว่าเพียงเพราะไม่ลงไปช่วยงานในไร่ !
เป็นเหตุให้บุตรชายนางต้องทำงานหนักมากขึ้น
ทำงานหนักขึ้นครึ่งวันไม่ทำให้ตายหรอก จื่อหรานอยากจะตอกกลับไปเสียเหลือเกิน แต่เพื่อไม่ให้เรื่องราวบานปลายไปกันใหญ่นางจึงเงียบฟัง ทำหูทวนลมปล่อยให้อีกฝ่ายบ่นไป
และเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือนเช่นวันนั้นอีก หญิงวัยกลางคนจึงสั่งให้จื่อลี่มาคอยเฝ้าดูนาง
เด็กสาววัยสิบสองคนนี้พูดมากจนน่ารำคาญ แถมยังวนเวียนอยู่ข้างกายไม่ช่วยหยิบจับอะไร พอรู้สึกเบื่อก็จะไปเกาะรั้วเล็ก ๆ ของบ้านพูดคุยกับเพื่อนบ้านที่เดินผ่านไปมา ซ้ำยังโอ้อวดว่า ท่านแม่ไว้วานให้ช่วยดูแลพี่ใหญ่ ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าภาคภูมิใจนักหนา
ไม่สนใจเลยว่ากากระทำของนางจะทำให้จื่อหรานรู้สึกเสียหน้าหรือไม่
พอกันทั้งแม่ทั้งลูกจริง ๆ
หญิงสาวพยายามไม่สนใจน้องสาวคนเล็กคนนี้ ขยับตัวทำงานที่ตนได้รับมอบหมายให้จบ พร้อมคาดหวังให้จดหมายจากจวนแม่ทัพมาถึงโดยเร็ว
อยากออกไปจากบ้านหลังนี้เต็มแก่แล้ว !
ขณะที่นางภาวนาด้วยใจคาดหวังเต็มเปี่ยม รถม้าคันหรูพลันเคลื่นตัวเข้ามาในหมู่บ้านท่ามกลางสีหน้าสนอกสนใจอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านว่างงานมากมาย เมื่อเห็นว่ารถม้าหยุดลงหน้าบ้านจื่อ สายตาทุกคู่ยิ่งให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ถึงขั้นมีคนเอ่ยถามขึ้นมา
“ลี่เอ๋อร์เป็นรถม้าจากที่ใดกัน หรือจะเป็นรถม้าของบุรุษผู้ดีมีเงินถูกตาต้องใจเจ้าเลยส่งแม่สื่อมาหา”คำพูดเอ่ยแซวของเพื่อนบ้านทำนางขัดเขิน สายตาคาดหวังมองตรงไปยังรถม้า
แม้ใจจะไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด แต่หากเป็นบุรุษบ้านมีเงินอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริงคงจะดีไม่น้อยเลย
ทว่าจื่อลี่ก็ต้องผิดหวังเมื่อคนที่พึ่งก้าวจากรถม้ากวาดตามองพลางเอ่ยว่า
“แม่นางจื่อหรานจากหมู่บ้านซานคือผู้ใด”น้ำเสียงอีกฝ่ายดังฟังชัด สายตาชาวบ้านที่เมื่อครู่ตกอยู่บนตัวจื่อลี่เปลี่ยนมามองจื่อหรานทันที
ส่วนจื่อลี่ตอนนี้แข็งค้างไปแล้ว
จื่อหรานปลายสาตามอง ส่ายหัวเล็กน้อยเดินเข้าไปหาชายผู้นั้น
“ข้าคือจื่อหราน ท่านคงมาจากจวนแม่ทัพสินะ”คำถามและท่าทางไม่หวาดกลัวของนางสร้างความพึงพอใจระคนประหลาดใจให้ผู้มาใหม่ อีกฝ่ายมองพิจารณาหญิงสาวตรงหน้าเงียบ ๆ
เป็นสตรีกล้าหาญคนหนึ่ง อีกทั้งสายตายังเต็มไปด้วยความแน่วแน่มั่นใจ ต่างจากสายตาหวาดกลัวของชาวบ้านรอบ ๆ
“มีใครยืนยันได้หรือไม่ว่านางคือจื่อหรานตัวจริง ?”ถึงจะมั่นใจว่าคงเป็นนางตามคำบอกเล่าของสหาย แต่เพื่อป้องกันความผิดพลาดเขาจึงต้องการพยานบุคคล
“...”บริเวณรอบข้างเงียบไปชั่วขณะ และในจังหวะที่นางเลิกคาดหวังความช่วยเหลือจากคนในหมู่บ้านเสียงหนึ่งพลันเอ่ยขึ้นมา
“ข้าเป็นพยายานให้ได้ นางคือจื่อหราน จากครอบครัวจื่อจริง”หญิงสาวหันหน้าไปมอง เป็นสตรีคนนั้นที่ซุบซิบนินทานางบนรถเทียมลา ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยปากช่วยเหลือ
“ในเมื่อมีคนยืนยันเช่นนั้นคงไม่ผิดคน”อีกฝ่ายหันมามองสตรีตรงหน้า หยิบจดหมายจากอกเสื้อออกมายื่นให้
“พรุ่งนี้เดินทางเข้าเมืองไปรับคัดเลือกว่าที่ฮูหยินของท่านแม่ทัพ”
“...”
บรรยากาศรอบข้างพลันเงียบสงัดลง
เมื่อสักครู่พวกเขาได้ยินว่าอะไรนะ !?
จื่อหรานได้รับจดหมายเข้าเมืองเพื่อรับคัดเลือกฮูหยินของท่านแม่ทัพเช่นนั้นหรือ !? ไม่ใช่ว่าคนที่จะสามารถเข้ารับการคัดเลือกได้จะต้องเป็นสตรีอ่านออกเขียนได้อายุตั้งแต่สิบห้าปีขึ้นไปหรือ แล้วเหตุใดจื่อหรานถึงมีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือก !
นางอ่านหนังสือไม่ออกด้วยซ้ำ ชื่อตนเองเขียนเช่นไรก็ไม่รู้
คนที่ไม่เคยเรียนหนังสือจะได้รับการคัดเลือกได้อย่างไร
ชาวบ้านมากมายต่างตกใจละคนสงสัย แต่คนที่ตกตะลึงมากกว่าคือ จื่อลี่
เด็กสาวผู้พึ่งได้สติก้าวเร็ว ๆ เข้ามาดึงจดหมายจากมือจื่อหรานไปเปิดออกอย่างไร้มารยาท ทำเอาคนมาส่งขมวดคิ้วแน่น
สตรีผู้นี้เป็นลูกเต้าเหล่าใครเหตุใดถึงได้ไร้มารยาทถึงเพียงนี้
ชายหนุ่มส่ายหัวน้อย ๆ ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเหตุการณ์นี้ เขาต้องการดูว่าสตรีตรงหน้าจะจัดการสถานการณ์ตอนนี้อย่างไร
จื่อหรานราวกับมองเห็นสายตาต้องการทดสอบของเขา หญิงสาวหันหน้าไปหาน้องสาวเอ่ยกับอีกฝ่ายว่า
“จื่อลี่การกระทำของเจ้าคิดว่าสมควรหรือไม่ ? ข้าคือพี่สาวเจ้าการที่เจ้าแย่งจดหมายข้าไปคิดว่าทำถูกแล้วจริง ๆ หรือ ?”
จื่อหรานจ้องมองจื่อลี่ซึ่งจ้องจดหมายไม่วางตา น้ำเสียงเต็มไปด้วยนัยเสียดสีเบา ๆ
เด็กสาวผู้ถูกจ้องมองกวาดตามองตัวอักษรมากมาย นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใจความในจดหมายนั้นเขียนไว้ว่าอย่างไร ยกเว้นตราสัญลักษณ์จวนแม่ทัพซึ่งเด่นหราบนกระดาษที่พอมองออก
จื่อลี่ผู้มัวแต่จดจ่ออยู่บนกระดาษไม่ได้ยินว่าจื่อหรานพูดอะไร จวบจนกระทั่งคิดจะเงยหน้าขึ้นมาซักถามอีกฝ่าย ในจังหวะที่สายตาสบเข้ากับนัยน์ตาดำขลับคมกริบ ร่างกายจื่อลี่พลันตื่นตระหนก รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“พะ...พี่ใหญ่”เด็กสาวเอ่ยเสียงเบา
บรรยากาศรอบกายซึ่งต่างจากเดิมส่งผลให้จื่อลี่ทำตัวไม่ถูก
จื่อหรานจ้องตาอีกฝ่ายชั่วครู่แล้วเหลือบตามองกระดาษในมือ
ไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำ เด็กสาวผู้เต็มไปด้วยความมั่นใจรีบยื่นกระดาษในมือให้นางทันที
หลังได้รับจดหมายกลับมา จื่อหรานก็หันไปหาชายหนุ่มข้างกาย ค้อมตัวทำความเคารพเขา ขยับปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ถ่อมตนมากนักแต่ก็ไม่ได้เย่อหยิ่งจนน่าหมั่นใส้
“ขอบคุณท่านที่นำจดหมายมาส่ง หลังอ่านเนื้อความในจดหมายเรียบร้อยแล้ว ข้าจะรีบเดินทางเข้าเมือง”
อีกฝ่ายมองการแก้สถานการณ์และท่าทางตอบรับจดหมายด้วยแววตาประหลาดใจ
ถือว่าแก้สถานการณ์ได้ดีในระดับหนึ่ง ไม่ใช้กำลังแย่งมาแต่ใช้สายตาและอำนาจกดดันบนร่างทำให้อีกฝ่ายยอมจำนน
แถมบรรยากาศกดดันรอบกายที่ว่านี้ใช่ว่าใครอยากจะมีก็มีได้ ต้องเป็นคนมีความมั่นใจและความสามารถในตนเองระดับหนึ่งถึงจะสามารถสร้างความกดดันให้ผู้อื่นได้เพียงแค่ปรายตามอง
เขาล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าสตรีตรงหน้ากับเด็กไร้มารยาทคนนี้ใช่ครอบครัวเดียวกันจริงหรือ เหตุใดบรรยากาศรอบกายนางถึงแตกต่างจากเด็กคนนี้เสียเหลือกิน
ทว่าถึงจะสงสัยกับไม่คิดเอ่ยถาม หลังได้คำตอบอันเป็นที่น่าประทับใจ ผู้มาใหม่จึงเอ่ยว่า
“พรุ่งนี้ก่อนถึงยามโหย่วข้าหวังว่าจะพบเจ้าที่จวนแม่ทัพ”
รถม้าคนหรูเดินทางออกจากหมู่บ้านไปแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่อีกฝ่ายเหลือทิ้งเอาไว้ คือความสงสัยและความสนใจของชาวบ้าน
พวกเขาอยากรู้เสียเหลือเกินว่าจื่อหรานทำเช่นไรถึงได้รับจดหมาย ทว่าก่อนที่พวกเขาจะได้เอ่ยถามเสียงแหลมปรี๊ดของสตรีพลันดังขึ้นขัดความต้องการของพวกเขาเสียก่อน
“จื่อหราน ! ที่เจ้าหายไปวันนั้นเพราะไปสร้างเรื่องเอาไว้สินะ !”
