ตอนที่ 6 แตกหัก
เสียงแหลมปรี๊ดมาพร้อมสีหน้าถมึงทึงของหญิงวัยกลางคน จิ้นจูก้าวยาว ๆ เข้ามาหาพวกนางทั้งสอง นอกจากแม่เลี้ยงแล้วข้างกายอีกฝ่ายยังมีครอบครัวจื่อคนอื่น ๆ เดินตามหลังมาเป็นขบวน
จื่อลี่ที่ถูกบรรยากาศรอบกายจื่อหรานกดข่มให้รู้สึกกลัวรู้สึกดีขึ้นมาทันทีเมื่อมองเห็นที่พึ่ง เด็กสาวผละออกห่างจากจื่อหรานวิ่งเข้าไปเอ่ยกับมารดาว่า
“ท่านแม่ พี่ใหญ่รังแกข้า”เด็กสาวว่าพร้อมยกมือกอดแขนมารดาท่าทางน่าสงสาร
สายตาจิ้นจูมองตรงมาดูน่ากลัวมากกว่าเดิม
สีหน้าจื่อหรานนิ่งอึ้งไปแล้ว
นางไปรังแกอีกฝ่ายตอนไหน ?
คิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว เอ่ยปากพูดออกไปว่า
“แม้ชีวิตจะยากจนเช่นไร ก็ไม่ควรทำตัวไร้เกียรติไม่เช่นนั้นคนเขาจะดูถูกเอา”
จื่อลี่รู้ดีว่าคำพูดนี้หมายถึงตน ถึงกระนั้นก็หาได้สนใจ ยังคงกอดแขนมารดาแน่น ก้มหน้าไม่พูดจา
จิ้นจูผู้รักบุตรสาวอย่างไม่ลืมหูลืมตา เห็นท่าทางเช่นนี้แล้วมีหรือจะยังมีเหตุผลพอจะพูดคุยกัน หญิงวัยกลางคนดันบุตรสาวไปไว้ด้านหลัง ก้าวยาว ๆ มาตรงหน้า
“ข้าเลี้ยงเจ้ามาเสียข้าวสุกจริง ๆ กับน้องเจ้ายังกล้ารังแก นางพึ่งอายุเท่าใด อะไรนิดหน่อย เจ้าอภัยให้น้องไม่ได้เลยหรือ ? หรือเจ้าแค้นข้าที่ทำโทษเจ้า !”อีกฝ่ายชี้หน้าด่ากราด จ้องจื่อหรานเขม็ง
คนถูกจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้รู้สึกโกรธหรือโมโหเลยสักนิด กลับกันในดวงตาสีดำลุ่มลึกเต็มไปด้วยประกายเหนื่อยหน่าย
“สีหน้าเจ้าตอนนี้อะไรกัน ยังมีจิตสำนึกของความเป็นพี่ใหญ่บ้างหรือไม่ ? หรือต้องให้ข้าตบสั่งสอนเจ้าสักครั้งเจ้าถึงจะรู้สึกตัวว่าคนเป็นพี่ใหญ่ควรทำตัวเช่นไร”จิ้นจูกล่าวอย่างเดือดดาล นางรังเกียจบุตรสาวภรรยาเก่าสามีมานานแล้ว แต่เพราะอีกฝ่ายมีประโยชน์ทั้งยังช่วยงานในบ้านหลายอย่างนางจึงยังกดข่มความต้องการอยากขับไล่อีกฝ่ายออกไปได้บ้าง
แถมบุตรสาวสามีคนนี้ยังไม่พูดไม่จา ไม่ว่าตนจะสั่งให้ทำอะไรล้วนทำทุกอย่าง
พอคนที่ยอมมาตลอดแข็งข้อขึ้นมา จะไม่ให้จิ้นจูโมโหได้อย่างไร
คนถูกต่อว่าเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียว เงียบฟังว่าอีกฝ่ายจะสรรหาคำพูดใดมาด่าตนอีก จวบจนกระทั้งคำพูดเริ่มไม่น่าฟังขึ้นเรื่อย ๆ จื่อหรานจึงเอ่ยขึ้นมาว่า
“พูดพอหรือยัง หากพอแล้วข้าจะได้พูดบ้าง”
คนถูกขัดจังหวะชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง นัยน์ตาโมโหร้ายจดจ้องจื่อหรานอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“จะ...เจ้า ! เจ้ากล้าต่อว่าข้า ! วันนี้หากข้าไม่ตบสั่งสอนเจ้า เจ้าคงไม่สำนึกจริง ๆ สินะ”
ตรรกะป่วย ๆ นี่มันอะไรกัน เคยเห็นแค่ในหนังไม่คิดว่าจะได้มาเห็นในชีวิตจริง แล้วชายวัยกลางคนคนนั้นคิดอะไรอยู่ คิดจะยืนมองลูกในไส้ถูกมารดาเลี้ยงตบจริง ๆ หรือ ?
ไม่สิ ชายคนนั้นไม่สนใจจื่อหรานนานแล้ว ไม่อย่างนั้นเด็กคนนี้คงไม่ต้องป่วยตาย
ในเมื่อไร้ซึ่งที่พึ่งสิ่งที่ทำได้คงมีเพียงพึ่งพาตนเอง นางไม่ยอมให้จิ้นจูตบด้วยเรื่องไร้สาระเช่นนี้แน่
“หากท่านตบข้า ข้าจะไม่หยุดเพียงคำพูดประโยคเดียว”
“จื่อหราน ! เจ้าถึงกับคิดจะตบตีแม่เจ้า !”เสียงจื่อเกาทำหญิงสาวสะดุ้ง
จื่อหรานหันสายตามองอีกฝ่ายนิ่ง นัยน์ตาฉายแววผิดหวังห่างเหิน
“ในเมื่อนางคิดจะตีข้าทำไมข้าจะตีนางคืนไม่ได้”จื่อหรานกวาดตามองพวกเขาทั้งหมด“ข้าขอถามหน่อย อะไรทำให้ข้าต้องถูกสตรีผู้นี้ตบดี ? ต้นเหตุของเรื่องราวมาจากส่วนไหน และข้าผิดอะไร”
คราวนี้เป็นพวกเขาที่พูดไม่ออก หญิงสาวไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่า เอ่ยขึ้นมาอีกว่า
“เพียงคำพูดประโยคเดียวของลูกในไส้ บอกว่าข้ารังแกท่านก็ติดป้ายหาว่าข้าเป็นคนใจร้าย ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แถมยังไม่รู้ด้วยว่าข้ารังแกนางจริงหรือไม่ แต่ขอแค่เป็นคำพูดจากปากลูกของท่าน ท่านถึงเชื่ออย่างไร้ข้อกังขา และตราหน้าว่าข้าไม่ดี”
“ข้าขอถามหน่อย ข้าเคยทำอะไรไม่ดีด้วยหรือ ? ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ใช่มีเพียงพวกท่านหรือที่เอาเปรียบข้า กินข้าวก็กินเหมือนกัน แต่เหตุใดงานที่ข้าได้รับถึงได้มากมายและหนักกว่าลูก ของพวกท่าน โตจนสุนัขกัดตูดไม่ถึงแล้วยังเอาเปรียบข้าไม่หยุดอีก จะรักลูกตัวเองมากกว่าลูกคนอื่นก็ขอมีขอบเขตเสียบ้าง ไม่ใช่ว่าเพราะข้าไม่พูดอะไรถึงได้เอาเปรียบกันไม่หยุด”
จื่อหรานหันไปหาจื่อเกา จ้องมองอีกฝ่าย เอ่ยคำพูดที่ทำให้คนฟังใจกระตุก
“ข้าขอถามท่านหน่อยเถิด ท่านยังคิดว่าข้าเป็นลูกท่านหรือไม่ ?”
“...”จื่อเกาพูดไม่ออก สายตาของบุตรสาวในวันนี้ทำชายวัยกลางคนใจหวิว รู้สึกได้ถึงความกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความเงียบของเขาคือคำตอบ
จื่อหรานหัวเราะในลำคอ จ้องมองพวกเขา
“พวกท่านรู้จักคำนี้ไหม สุนัขที่มันจนตรอกมักจะหันมาแว้งกัดคนเลี้ยงเสมอ ข้าขอเตือนพวกท่านว่าอย่าได้เอาเปรียบข้าให้มากนัก เพราะข้าสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่พวกท่านคิด และข้าไม่คิดจะยอมให้พวกท่านเอาเปรียบอีกแล้ว อยากกินข้าวก็เชิญทำกินกันเอง ทำกินไม่ได้ก็อดตายไปเสีย !”
กล่าวจบก็ก้าวเดินผ่านคนทั้งห้าไปไม่สนใจด้วยซ้ำว่าพวกเขาจะมีสีหน้าเช่นไร
ตอนแรกก็ว่าจะทนอยู่ต่อไปอีกสักหน่อย แต่มาตอนนี้นางทนไม่ไหวแล้ว
ไม่ยอมฟังอะไร ทั้งยังไร้เหตุผล พูดไปก็เพียงเท่านั้น ไม่มีทางที่พวกเขาจะเชื่อคำพูดคนนอกอย่างนาง
จื่อหรานกลับเข้ามาในห้อง เก็บเสื้อผ้าน้อยชิ้นของตนใส่ห่อผ้า เปิดประตูออกจากบ้านคิดจะจากไป
“เจ้าจะไปที่ใด นอกจากบ้านหลังนี้เจ้าก็ไม่มีที่ใดให้ไปแล้วนะ”จื่อเกาเอ่ยกับบุตรสาว
นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้มองหน้านางตรง ๆ
“ท่านพี่จะไปยื้อนางไว้ทำไม นางอยากไปไหนก็ปล่อยนางไป ข้าอยากจะรู้นักว่าจะเก่งไปได้สักแค่ไหน หากไม่มีครอบครัวคุ้มกะลาหัว นางยังจะมีชีวิตมาจนถึงวันนี้ไหม !”จิ้นจูโมโหมาก อยากให้จื่อหรานออกจากบ้านไปเร็ว ๆ บ้านหลังนี้จะได้มีเพียงครอบครัวนาง ไม่มีส่วนเกินอย่างลูกสาวภรรยาเก่าสามี
จื่อหรานเหลือบสายตามองไปด้านหลังก่อนจะดึงสายตากลับมามองจื่อเกา
มารู้สึกเป็นห่วงอะไรเอาป่านนี้ ก่อนหน้านี้มีเวลาตั้งมากมัวทำอะไรอยู่
“ท่านไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้า นอกจากบ้านหลังนี้คงไม่มีอะไรทำให้ข้าเจ็บปวดได้มากขนาดนี้อีกแล้ว แล้วก็นะ พอข้าออกจากบ้านไปแล้ว ท่านช่วยลบชื่อข้าออกจากรายชื่อคนตระกูลจื่อที ถือว่าเป็นคำขอร้องสุดท้ายของข้าในฐานะบุตรสาวท่าน”
จื่อหรานทิ้งคำพูดไว้เพียงเท่านั้น แล้วเดินจากมา ไม่แม้จะหันกลับไปมองคนด้านหลัง
พอก้าวพ้นรั่วบ้าน หญิงสาวผู้ไม่มีที่ไปเงยหน้ามองฟ้า พลางยิ้มเยาะตัวเองในใจ
จื่อหรานชีวิตนี้ของเจ้าช่างน่าเวทนาเสียจริง มารดาจากไปก่อนวัยอันควร มีบิดาก็เหมือนไม่มี กว่าเขาจะยอมแสดงถึงความห่วงใยก็ในวันที่สายไปเสียแล้ว
นัยน์ตามองตรงไปไกลถูกดึงกลับมา กวาดตามองชาวบ้านที่ยังคงไม่ไปไหน
คนพวกนี้ก็กระไร ชอบนักเวลาได้เห็นอะไรแบบนี้
ศีรษะกลมส่ายหัวเล็กน้อย
ถึงการหลีกหนีออกมาจะเป็นการกระทำแสนหุนหันพลันแล่น ทว่าสำหรับจื่อหรานแล้ว การย้ายออกมาเสียตอนนี้ย่อมดีกว่าอดทนต่อไป
อดทนต่อความลำเอียงที่ไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อใด...
ฝ่าเท้าหนักแน่นก้าวขึ้น คิดจะเดินเข้าเมืองมองหาสถานที่พอให้พักผ่อนได้หนึ่งคืน ทว่าก่อนจะก้าวเดินห่างออกหน้าบ้าน เสียงหนึ่งพลันเรียกเอาไว้เสียก่อน
“หากเจ้าไม่รังเกียจมานอนที่บ้านข้าก่อนดีหรือไม่ ?”
นัยน์ตาประหลาดใจมองสบแววสงสารระคนเห็นใจซึ่งสะท้อนออกมาจากนัยน์ตาอีกฝ่าย
เป็นสตรีผู้นี้อีกแล้ว
ไม่รู้ว่านางหวังดีหรือคาดหวังอะไรอยู่กันแน่ แต่ในเมื่อนางยอมยื่นมือช่วยเหลือในยามทุกข์ยาก อีกทั้งสายตายังเต็มไปด้วยความจริงใจ จื่อหรานจึงเลือกพยักหน้ายอมรับความช่วยเหลือ
“ขอบคุณท่านน้า”
