บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 ข่าวรับสมัครคัดเลือกลูกสะใภ้

ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

หลังได้รับความทรงจำอันไม่คุ้นเคยจื่อหรานหันหน้าเข้ากำแพงครุ่นคิดว่าจะทำยังไงกับชีวิตต่อดี รวมถึงพยายามทำใจยอมรับว่าตัวเองได้รับชีวิตใหม่ ทั้งยังเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างบุตรสาวคนโตของครอบครัวบัดซบ !

ทำไมเรียกว่าบัดซบน่ะเหรอ ?

เหอะ ๆ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง

เจ้าของร่างมีชื่อว่าจื่อหราน ชื่อเดียวกับเธอในโลกก่อน เด็กสาวผู้เกิดมาในครอบครัวชาวนาฐานะเรียกได้ว่าพอมีเงินประทังชีวิต ไม่ได้ขัดสนจนต้องกัดก้อนเกลือกิน แต่ก็ไม่ได้อู่ฟู่ถึงขั้นสามารถใช้ชีวิตได้อย่างใจนึก

จื่อหรานเป็นลูกคนโตซึ่งเกิดจากภรรยาคนแรก ก่อนมารดาแท้ ๆ ของเธอจะเสียชีวิตหลังเธอเกิดได้ไม่กี่ปี จากนั้นบิดาก็แต่งผู้หญิงคนใหม่เข้าบ้าน

ชีวิตในช่วงแรก ๆ ของจื่อหรานไม่ได้แย่อะไรมากนัก แม่เลี้ยงยังดีกับเธออยู่แต่หลังจากแม่เลี้ยงให้กำเนิดลูกชายความสำคัญของลูกสาวคนโตก็ลดลง จนถึงขั้นเกือบจะไร้ซึ่งความสำคัญ

เธอเริ่มต้นทำงานตั้งแต่ยังเด็ก ซักผ้า หุงหาอาหารให้คนในบ้าน งานไร่งานสวนทุกอย่างล้วนเคยหยิบจับทั้งสิ้น บอกได้เลยว่าไม่มีงานไหนที่จื่อหรานไม่เคยทำ

เธอต้องเผชิญความลำบากมากมายจนเติบโตขึ้น แม้จะบอกว่าเพราะครอบครัวไม่ได้มีมากจึงต้องลำบาก ทว่าความลำบากนั้นกับไม่ได้ถูกแบ่งปันไปให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม ทุกครั้งที่บ้านมีเรื่องดี ๆ มีของดี ๆ อาหารอร่อย เสื้อผ้าดี ๆ เธอต้องเสียสละให้น้อง

คิดดูสิ น้องได้เสื้อผ้าใหม่ ได้กินของดี ๆ ได้ปิ่นปักผมสวย ๆ ส่วนเธอไม่ได้อะไรเลยนอกจากยืนห่างออกมาเงียบ ๆ มองใบหน้ายิ้มแย้มของพวกเขา จื่อหรานในตอนนั้นจะรู้สึกยังไง

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่เรียกได้ว่าแทบจะพูดไม่ออก หนึ่งในนั้นคงเป็นตอนที่เธอป่วยหนังแต่ต้องตื่นมาทำอาหารให้ทุกคนในบ้านกิน

“คนอื่นไม่มีมือมีเท้าหรือไงถึงได้รอกินข้าวจากคน ๆ เดียว”

การถูกลดความสำคัญยังคงหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งแม่เลี้ยงเริ่มมองว่าเธอเป็นส่วนเกินของบ้าน แค่เห็นหน้าก็รู้สึกขัดหูขัดตา ถ้าไม่ใช่กลัวชาวบ้านนินทาคงไล่จื่อหรานออกจากบ้านไปนานแล้ว

ส่วนน้องทั้งสามคนก็ไม่ได้ให้ความเคารพเธอเลยสักนิด พวกเขาล้วนทำเหมือนจื่อหรานเป็นคนใช้ เป็นเพียงคนช่วยแบ่งเบางานของพวกเขา ถึงกระนั้นจื่อหรานก็ยังคงเงียบกัดฟันทนต่อความอยุติธรรมทุกอย่างที่ต้องเผชิญ

แล้วบิดาละ บิดาไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือ ?

ถึงบิดาจื่อหรานจะไม่ได้ถึงขั้นมองเธอเป็นคนอื่น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก อีกฝ่ายมักเกรงใจและเห็นด้วยกับคำพูดแม่เลี้ยงเสมอ แม้จะมีพูดเพื่อเธออยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็เงียบปล่อยให้แม่เลี้ยงจัดการตามที่ต้องการ

และความปล่อยปะละเลยก็มาถึงขีดจำกัด ในวันที่จื่อหรานบอกว่าป่วยต้องการพักผ่อน คนที่บ้านก็ไม่ได้ให้ความสนใจเหมือนอย่างเคย ด้วยความเชื่อผิด ๆ ว่าเดี๋ยวเธอก็ดูแลตัวเองจนกลับมาหายป่วยได้ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แล้ว จื่อหรานที่ทำงานหนักมาตลอดจนร่างกายเริ่มไม่ไหว พอป่วยหนักก็ไม่ได้กินยาดี ๆ มีแค่ปล่อยให้หายเองตามธรรมชาติ

อาการป่วยซึ่งกดทับและสะสมมานานทำให้เธอไม่อาจทนความเจ็บป่วยครั้งนี้ไหว เสียชีวิตไปโดยที่ไม่มีใครรับรู้

เป็นเด็กที่น่าสงสารมาก พึ่งจะย่างเข้าวัยยี่สิบปีแต่ต้องมาตายเพราะความไม่ใส่ใจของครอบครัว

“จื่อหรานเจ้าทำอะไรของเจ้า หายป่วยแล้วไม่ใช่หรือ ออกมาทำอาหารให้คนอื่นในบ้านกินได้แล้ว จะได้ออกไปทำงาน”เสียงปวดแก้วหูของแม่เลี้ยงดังขึ้นพร้อมบานประตูเปิดออก จื่อหรานคนใหม่มองกลับไปด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย

บ้านแบบนี้คงต้องหาช่องทางหนีออกไปจะได้ที่สุด ไม่อย่างนั้นชีวิตเธอได้วนเวียนอยู่กับการเอารัดเอาเปรียบไม่หยุดไม่หย่อนแน่ ๆ

หญิงสาวตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะพร้อมหยัดตัวลุกขึ้นยืน เดินออกไปทำอาหารให้คนทั้งบ้าน ภายใต้สายตาจับจ้องมาด้วยความสงสัย

...

“ท่านแม่เมื่อวานตอนข้าออกไปเล่นกับหลัวลั่วได้ยินแม่ของนางพูดว่าจวนแม่ทัพกำลังเปิดรับสมัครภรรยาให้บุตรชาย ท่านแม่ ท่านว่าข้าไปสมัครดีหรือไม่เจ้าคะ ?”เด็กสาวเอ่ยยิ้ม ๆ ใบหน้าขัดเขิน

“แม่ว่าก็ดีเหมือนกันนะ หน้าตาเจ้าออกจะสะสวย เกิดถูกตาต้องใจท่านแม่ทัพเข้าครอบครัวเราคงได้สบายกันทั้งบ้าน”

“ท่านแม่น้องพึ่งอายุสิบสิบสองอีกตั้งสามปีจะถึงวัยแต่งงานจวนแม่ทัพจะรับน้องหรือขอรับ”จื่อหมิงบุตรชายคนโตเอ่ยกับมารดา พวกเขานั่งพูดคุยกันบนแคร่หน้าบ้าน ซึ่งข้าง ๆ แคร่เป็นห้องครัวไว้ทำอาหาร จื่อหรานที่ยืนทำอาหารอยู่ข้างในเงี่ยหูฟังพวกเขาพูดคุยกัน

พึ่งอายุสิบสองแต่กับคิดเรื่องแต่งงานแล้ว คนสมัยนี้รวดเร็วกันจริง ๆ ทว่าคิดอีกมุมหนึ่งคงพูดได้ว่าเป็นปกติสำหรับคนยุคนี้

เด็กอายุสิบห้าถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว

หญิงสาวคิดพลางเงี่ยหูฟังต่อ บางทีอาจจะมีช่องทางให้นางหาโอกาสออกจากบ้านหลังนี้ปรากฏออกมา

“เจ้าก็อย่าพึ่งพูดขัดน้องให้มากนัก หากเข้าตาจริงก็ใช่ว่าจะหมั้นกันก่อนไม่ได้ นอกเสียจากว่าจวนแม่ทัพจะกำหนดช่วงอายุของคนรับสมัคร”

“แต่ท่านแม่ไม่ใช่ว่าท่านแม่ทัพมีข่าวว่าหน้าตาอัปลักษณ์หรอกหรือ ? ทั้งยังมีนิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต เกิดลี่เอ๋อร์ได้ตบแต่งกับท่านแม่ทัพจริงจะไม่เป็นอันตรายหรือ ?”

“จื่อหมิง เจ้านี่ก็คิดไกลไป ลูกคิดจริงหรือว่าจวนแม่ทัพจะกล้าทำเรื่องที่จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงจวน พวกเขาย่อมต้องดูแลลี่เอ๋อร์ของพวกเราดีแน่ ๆ รวมถึงดูแลครอบครัวฝั่งภรรยาดีด้วย”จิ้นจูหยุดพูดชั่วขณะก่อนเอ่ยขึ้นมาอีกว่า

“ไม่ใช่ว่าเบี้ยรายเดือนของฮูหยินคือสิบตำลึงทองหรือ ? เงินมากมายขนาดนั้นสามารถทำให้ครอบครัวเราสุขสบายได้ แล้วก็นะถึงจะไม่ได้แต่งแม่ก็ยังได้ยินมาว่าคนที่เข้ารับสมัครจะได้รับเงินหนึ่งตำลึงทอง ! ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่เหลือแม่ไม่รู้แล้ว”

ตอนแรกจื่อหรานไม่ได้สนใจมากนักแต่พอได้ยินว่าเบี้ยรายเดือนคือสิบตำลึงทองหญิงสาวถึงกับหูพึ่งขึ้นมา หากมีเงินมากขนาดนั้นนางสามารถนำเงินมาตั้งตัวได้ แถมดูแล้วครอบครัวนี้คงหวาดกลัวคนมีอำนาจแน่ ๆ

การจะหนีจากบ้านนี่ได้โดยไม่ต้องตกเป็นทาสมีอยู่ไม่กี่ทางเลือก

หนึ่งคือเจ้าบ้านยอมเขียนหนังสือแยกบ้านให้ สองคือแต่งเข้าบ้านสามี หากแยกบ้านไปอยู่เองไม่มีหนังสือยอมรับหลังถูกจับได้จะถูกส่งไปเป็นทาส !

ด้วยเหตุนี้พอตัดความเป็นไปได้ข้อแรกไปจะเหลือเพียงข้อสองที่สามารถทำได้ ทว่าหากแต่งงานกับคนฐานะเหมือน ๆ กันครอบครัวจื่อไม่มีทางปล่อยให้นางใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแน่นอน

พวกเขาคงพยายามเอาเปรียบครอบครัวสามีนางเหมือนที่ทำกับนางมาตลอด แต่หากได้แต่งเข้าจวนแม่ทัพบางทีเรื่องราวอาจจะง่ายขึ้นมาก

แม้ใจจะไม่ได้ต้องการแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ แต่เพื่อความอยู่รอดจื่อหรานคิดว่าความคิดนี้ของตนก็ไม่เลว

บางทีจวนแม่ทัพอาจจะไม่ได้เลวร้าย และถึงจะเลวร้ายคงไม่เท่าบ้านหลังนี้ อีกอย่างก่อนถึงขั้นนั้นพวกเขาก็คงจะมีการคัดเลือกสะใภ้ นางยังมีเวลาสอดส่องดูว่าจวนแม่ทัพเป็นเช่นไร

แม้สุดท้ายจะไม่ได้อย่างน้อยก็ยังพอมีเงินจากการเข้ารับสมัคร

จื่อหรานครุ่นคิดในใจเงียบ ๆ พลางขยับมือทำอาหารให้คนทั้งห้ากิน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel