บท
ตั้งค่า

ตอนที่ ๗ บุรุษหนุ่มทรงอำนาจ 2

มัทยาจินตนาการไปเองว่าฟรานคงพาเธอไปพบเจ้านายรูปหล่อปานรูปปั้นเทพบุตรกรีกของเขา แต่กลับผิดคาด เพราะสถานที่ถัดมาคือห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางกรุง ชายหนุ่มก้าวอาดๆ ลงจากรถ ก่อนจะตะโกนเรียกคนที่ยืนทำหน้าเหวออยู่ไม่ไกลให้รีบเดินตามมา

“เร็วสิ!”

“รู้แล้วน่า!”

ต่างคนต่างหงุดหงิดกับความไม่ได้ดั่งใจของกันและกัน ซึ่งดูเหมือนมัทยาจะต้องเป็นฝ่ายยอมลงให้กับฟรานก่อนแทบทุกครั้ง เธอรู้อยู่หรอกว่าอย่างไรเสียก็ควรให้เกียรติเขาในฐานะคนสนิทของว่าที่เจ้านาย ฉะนั้นต่อให้รู้สึกว่าอยากจะกระโจนเข้าใส่แค่ไหน เธอก็ต้องสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ แล้วฝืนยิ้มเชือดเฉือนให้เขาเป็นระยะ

ฟรานพามัทยาเข้าไปในร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมเกือบทุกร้าน มัทยาไม่มีเวลาถามอะไรสักคำ เมื่อก้าวตามเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มก็สั่งให้พนักงานในร้านมาลากเธอเข้าไปในห้องแต่งตัวทันที ชุดทุกชุดที่ถูกเลือกให้ลองสวมใส่ล้วนแล้วแต่มีราคาแพง และดูหรูหราไม่เหมาะกับเด็กกะโปโลอย่างเธอเลยสักนิด มัทยามองตัวเองที่อยู่ในชุดสูทสำหรับผู้หญิงแบบหรูหราไฮโซ จากนั้นพนักงานก็นำเธอออกมาพบฟรานที่นั่งรออยู่ด้านนอก หากชุดไหนพอใจเขา เขาก็ตัดสินใจเลือกชุดนั้น ไม่คิดจะถามใจคนใส่เลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าชุดไหนคิดว่ายังไม่ดีพอ เขาจะมีคำสั่งให้พนักงานคนเดิมรีบนำเธอไปเปลี่ยนทันที

ใช้เวลานานร่วมชั่วโมง กว่าฟรานจะยอมกลับออกจากร้านเสื้อผ้า แต่ภารกิจเปลี่ยนแปลงยาจกสาวให้ดูดีสมเป็นกุลสตรีชั้นแนวหน้ายังไม่จบเพียงแค่นั้น มัทยาถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อฟรานพาเธอไปเลือกซื้อรองเท้าอีกนับสิบคู่ กระเป๋าสวยหรูหลายใบ เครื่องประดับอีกมากมาย แล้วไหนจะเครื่องสำอางราคาแพงที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้แตะต้องนั่นอีกด้วย

จิตใจของมัทยาคล้ายกำลังหลุดลอยไปไกล แทบไม่มีสติจะก้าวเดินตามร่างสูงอีก นับตั้งแต่ได้ยินว่าเสื้อผ้าข้าวของหลากหลายแบบของเธอนั้นมีราคารวมร่วมสองแสน คนพวกนี้ทำงานทำการอะไรกันนะ ทำไมถึงต้องยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อผู้หญิงธรรมดาๆ อย่างเธอด้วย

“เฮ้! เดินเร็วหน่อยได้ไหม ฉันรีบนะ” หนุ่มหล่อเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลสว่างสดใสหันมาเร่งเร้า เมื่อคนตัวเล็กเอาแต่เดินเหม่อเหมือนกำลังมีเรื่องให้คิดหนัก

“อ่อ...อืมๆ ก็รีบเดินอยู่แล้วนี่ไง” มัทยาเพิ่งได้สติ รีบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังตรงไปที่รถยนต์ แอบเบ้ปากใส่พ่อคนสุภาพบุรุษที่ไม่คิดจะมีน้ำใจช่วยเปิดประตูให้ ซึ่งนั่นทำให้เธอต้องใช้แทบทุกส่วนของร่างกายเพื่อพาตัวเองเข้าไปในรถให้สำเร็จ

“คาดเบลล์ซะ เราจะไปหาธีโอกัน” ฟรานบอก ขณะนำแว่นกันแดดสีชาที่เหน็บอยู่ตรงกระเป๋าเสื้อเชิ้ตออกมาสวม และดึงเข็มขัดนิรภัยคาดให้ตัวเอง

“หา! นี่คุณจะรีบไปไหนนักหนา ใจคอจะไม่แวะกินข้าวกินน้ำเลยเหรอ ตั้งแต่เช้าฉันกินลูกชิ้นปิ้งไปไม่ถึงไม้ด้วยซ้ำ หิวนะ” มัทยาโวยวาย ตอนนี้ท้องไส้ร้องประท้วงเรียกหาอาหารจนแทบทนไม่ไหวแล้ว

“ที่เซฟเฮาส์มีอาหารมหัศจรรย์ที่เธอคาดไม่ถึงมากมาย อดทนรออีกนิดคงไม่เป็นไรหรอก รับรองว่าต่อให้หิวจนสามารถกินช้างเข้าไปได้ทั้งตัว เธอก็จัดการกับอาหารที่นั่นไม่หมดแน่” ฟรานหันมากระตุกยิ้มเก๋ที่มุมปาก ชั่วขณะหนึ่งมันทำให้หัวใจของมัทยาหล่นวูบ แก้มขาวผ่องเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อโดยไม่ตั้งใจ และแก้ไขอากัปกิริยาเหล่านั้นด้วยการส่งเสียงพึมพำในลำคอ แล้วผินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างเสีย

ฟรานใช้เวลาขับรถมุ่งหน้าไปยังเซฟเฮาส์ส่วนตัวของธีโอนานเกือบชั่วโมง เพราะช่วงสายๆ ของวันหยุดทำให้จราจรเกิดการอัมพาตไปชั่วคราว คนตัวเล็กบ่นกระปอดกะแปดแทบตลอดเวลา แต่ฟรานไม่ได้ใส่ใจนัก ยิ่งเห็นมัทยาอารมณ์เสีย เขาก็ยิ่งอารมณ์ดีอย่างไม่มีสาเหตุ

รอยยิ้มของหญิงสาวกว้างขึ้นจนเห็นฟันซี่เล็กขาวสะอาดเรียงตัวกันเป็นระเบียบ เมื่อรถคันหรูแล่นเข้าไปจอดยังลานจอดรถภายในเซฟเฮาส์ที่ดูแล้วไม่ต่างจากคฤหาสน์นัก มัทยาไม่สนใจข้าวของมากมายแล้วในเวลานี้ ฟรานสั่งให้คนของเขานำทุกอย่างลงจากรถ ไปไว้ที่ห้องพักส่วนตัวของมัทยา ขณะที่เธอรีบเดินกึ่งวิ่งเข้าไปข้างใน หวังแค่จะขอน้ำดื่มสักแก้วให้ชื่นใจก็พอ

“เข้าไม่ได้” บอดี้การ์ดผมทองหน้าตาเย็นชาไม่ต่างจากน้ำเสียงรีบกางแขนขวางไว้

“เธอมากับฉัน ให้เข้าไปได้” เสียงฟรานที่ดังขึ้นตามมาทำให้บอดี้การ์ดหน้าหล่อคนนั้นลดแขนลงแนบข้างลำตัวตามเดิม ยอมเปิดทางให้หญิงแปลกหน้าเข้าไปภายในเซฟเฮาส์ได้โดยไม่ขัดข้องอีก

มัทยาไม่ได้ตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่างภายในเซฟเฮาส์ราคาหลายสิบล้านของธีโอนัก เพราะเมื่อตอนที่มาทำหน้าที่ล่ามชั่วคราว เธอได้มองสำรวจจนเต็มสายตาไปแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เธอมองหาก็คือห้องอาหารหรือไม่ก็ห้องครัว จริงอยู่ที่รู้สึกเกรงใจและคิดว่าคงไม่เหมาะหากจะทำอะไรบุ่มบ่าม ทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของสถานที่ แต่นอกจากจะหิวมากแล้ว เธอยังกระหายน้ำเป็นที่สุดอีกด้วย ซึ่งอย่างหลังนี่เองที่ทำให้แทบทนรอไม่ได้

“มีมารยาทหน่อย!” ฟรานกระชากลำแขนเรียวเล็กเอาไว้เต็มแรง เมื่อเห็นเธอตั้งท่าจะวิ่งหายไปทางส่วนที่เป็นห้องทำงานของธีโอ

“โอ๊ย!” ร่างบอบบางที่เซถลามาปะทะอกกว้างแข็งตึงเต็มไปด้วยมวลกล้ามเนื้อถึงกับร้องลั่น ใบหน้าสวยน่ารักบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เพราะชายหนุ่มบีบต้นแขนเธอไว้แน่นราวกับต้องการบดกระดูกให้ละเอียดคามือไปเสียเลย

“ขอโทษ” ฟรานรีบปล่อยมือของตัวเองออก เมื่อเห็นดวงตากลมโตเริ่มมีน้ำสีใสคลอรื้นขึ้นมา

“ทำไมต้องรุนแรงด้วย! ฉันก็แค่ต้องการน้ำดื่มนะ” เสียงนุ่มที่เคยสร้างความรำคาญใจให้เสมอ ยามนี้ฟังดูสั่นเครือเต็มทน ซึ่งมันทำให้ฟรานรู้สึกผิดเหลือเกิน

“โอเค...ฉันขอโทษที่รุนแรง ฉันไม่ได้ตั้งใจ แต่ไอ้ทางที่เธอจะไปมันเป็นห้องทำงานสำคัญของธีโอ ฉันแค่ต้องทำตามหน้าที่ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเธอ ฉันไม่ทำร้ายผู้หญิงด้วยซ้ำถ้าไม่จำเป็น” แววตาของชายหนุ่มกำลังรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ เห็นแบบนั้นแล้วมัทยาถึงกับโกรธไม่ลง อันที่จริงเธอก็ผิดเหมือนกันที่รีบร้อนจนเกือบเข้าไปยุ่มย่ามในส่วนสำคัญของที่นี่ ฉะนั้นถือว่าหายกันไปก็แล้วกัน ถึงเขาจะทำเกินกว่าเหตุไปหน่อยก็ตาม

ฟรานเกือบถอนหายใจออกมาอยู่แล้ว เมื่อเห็นมัทยาพยักหน้ารับรู้สิ่งที่เขาบอก ขณะนั้นเองที่ธีโอเดินลงมาชั้นล่าง รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นที่มุมปาก เมื่อเห็นเพื่อนรักนำผู้หญิงที่ต้องการมาที่นี่ได้สำเร็จอย่างที่คิดไว้ ร่างสูงกำยำที่ดูสง่างามและทรงอำนาจทำเอามัทยาต้องก้มหน้าลงมองพื้น ดวงตาสีสวยนั่นมีเสน่ห์เหลือร้ายเกินไปสำหรับสตรีเพศที่หวั่นไหวง่าย

“ยินดีต้อนรับสู่อ้อมกอดอันน่าสะพรึงกลัว” ปกติธีโอจะไม่พูดจาเล่นหัวกับใคร แต่สำหรับมัทยา เธอทำให้เขาคิดถึงน้องสาวตัวเล็ก ที่จากไปเพราะโรคร้ายตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ แต่ดูท่าว่าคำพูดที่หวังจะให้อีกฝ่ายลดความประหม่าลง กลับทำให้มัทยาเกร็งนิ่งไปทั้งตัว เผลอขยับเข้าหาฟรานอย่างลืมตัวอีกด้วย

“ฉันว่านายทักทายผู้หญิงได้แย่มากเลย” ฟรานส่ายหน้ายิ้มๆ

“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน อืม...เอาล่ะ เชิญที่ห้องรับแขกดีไหม ได้ยินแว่วๆ ว่าเธออยากได้น้ำดื่มสักแก้วนี่นา”

ธีโอเอ่ยอย่างสุภาพ แล้วเดินนำตรงไปที่ห้องรับแขกเป็นคนแรก ฟรานขยับจะตามไป แต่มือเล็กที่เกาะเกี่ยวท่อนแขนกำยำไว้ทำให้เขาชะงักลง

“คุณพาฉันมาฆ่าเพื่อปิดปากเรื่องนั้นหรือเปล่า” มัทยายังคลางแคลงใจ

“ให้ตายสิ! เลิกคิดแบบนั้นได้แล้ว ธีโอเห็นเธอทำตัวประหม่า...ก็แค่อยากทำให้รู้สึกดีขึ้น”

“รู้สึกดีบ้าอะไรล่ะ! ยินดีต้อนรับสู่อ้อมกอดอันน่าสะพรึงกลัวเนี่ยนะ” เธอกระซิบเสียงแผ่ว

“ทำตัวผ่อนคลายหน่อยก็ได้น่า รับรองได้เลยว่าถ้าไม่มีการทรยศหักหลัง การตายก็จะไม่มีแน่นอน”

“แต่ฉัน...”

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอคิดอะไรเกี่ยวกับพวกเรา แต่ขอให้จำไว้ว่าพวกเราไม่เคยทำร้ายใครก่อน ไม่ใช่พวกมาเฟียบ้าเลือดที่ฆ่าได้แม้แต่เด็กและผู้หญิง รู้ไหมว่าการที่ธีโอให้เธอเข้ามาทำงานด้วยไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยนะ มันค่อนข้าง...ผิดปกติ แต่อย่าคิดเชียวล่ะว่าเพื่อนฉันชอบเธอ สเปกหมอนั่นสูงกว่านี้เยอะมาก” ฟรานเบ้ปาก

“ระวังปากหน่อยก็ดีนะ แล้วนี่...ตกลงว่าธีโอเป็นเพื่อนคุณ หรือเป็นเจ้านายกันแน่”

“ทั้งสองอย่าง และต่อไปห้ามเรียกเจ้านายของเธอแบบนั้นนะ เธอต้องเรียกธีโอว่าคุณธีโอโดโรเท่านั้น เข้าใจไหม”

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฟรานถึงได้อารมณ์ดีขึ้นมา ทั้งที่ตอนแรกเขารำคาญใจแทบตายที่มีผู้หญิงเสียงแหลมเล็กคอยก่อกวนปั่นประสาท แต่ตอนนี้เขากลับคิดว่าหากสามารถควบคุมมัทยาได้ การมีเธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งก็คงไม่ได้เลวร้ายนัก

“ฉันเข้าใจแล้ว แต่ว่าเขาน่ากลัวมากเลยนะ ตอนพบกันครั้งแรกมันเป็นช่วงเวลากลางคืน แล้วในห้องนั้นก็ค่อนข้างมืด แต่พอเจอในที่แจ้งแบบนี้มันทำให้ฉันคิดว่าเขาน่าเกรงขามมาก แล้วก็หล่อมากๆ ด้วย” คนตัวเล็กพล่ามต่อ เพราะยังคงรู้สึกทึ่งในบุคลิกของเจ้านายคนใหม่อยู่มาก

“พอเถอะ เลิกพูดมาก แล้วตามมานี่” ฟรานกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย แล้วคว้าข้อมือเล็กที่ให้เดินตามเข้ามาภายในห้องรับแขก

เมื่อทั้งสามคนอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว บอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่เหมือนสาวใช้ ก็ยกถาดเครื่องดื่มเข้ามาพร้อมกับอาหารว่าง มัทยาลอบกลืนน้ำลาย พยายามเก็บอาการเต็มที่ แต่โชคร้ายที่ธีโอมองออก

“นายปล่อยให้สุภาพสตรีอดอาหารงั้นเหรอ” ชายหนุ่มหันไปถามหาคำตอบจากเพื่อนรัก

“ฉันรีบน่ะ อีกอย่างคิดว่าอาหารที่นี่ดีกว่าข้างนอกมาก ฉันเลยขอให้เธออดทนมารับประทานที่นี่”

“เชิญจัดการกับของว่างไปพลางได้เลย ฉันจะพูดธุระของเราเพียงครู่เดียว ระหว่างนี้ฉันจะให้คนของฉันเตรียมอาหารขึ้นโต๊ะไว้ให้” คราวนี้ธีโอหันมาบอกกับมัทยา หญิงสาวยิ้มแหยแทนคำตอบ และไม่ได้ทำตามที่เขาบอกทั้งที่ใจร่ำร้องเต็มกำลัง เธอเพียงแค่ดื่มน้ำดับกระหายเท่านั้น

ฟรานรู้หน้าที่ของตัวเองทันทีที่ได้ยินธีโอบอกกับมัทยา ชายหนุ่มดีดนิ้วสองทีซ้อนเหมือนที่ทำเป็นประจำ แล้วบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็เดินเข้ามา ฝ่ายนั้นโน้มตัวลงรับคำสั่งเรื่องที่ให้จัดเตรียมอาหารชุดใหม่ขึ้นตั้งโต๊ะ ก่อนจะเดินออกไปส่งต่อคำสั่งให้กับพ่อครัวมือหนึ่งที่ติดตามไปทุกทีเสมอ

“เธอคงรู้จากฟรานมาบ้างแล้วว่าทำไมฉันถึงต้องการให้เธอมาทำงานด้วย แต่ฉันต้องการบอกเหตุผลให้ฟังโดยพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง เธอไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนใจแล้วนะ เพราะเราเตรียมทุกอย่างให้เธอหมดแล้ว” ธีโอเน้นท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด และมัทยาเพียงแค่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น

“ประการแรกคือฉันเห็นว่าเธอมีความสามารถที่ควรสนับสนุน อันที่จริงฉันอาจจะมองข้ามมันไปแล้ว ถ้าไม่ได้ยินจากฟรานว่าเธออาศัยอยู่ในที่แบบไหน แล้วมีประวัติความเป็นมายังไงบ้าง”

“คุณรู้?” หญิงสาวอดถามไม่ได้ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะเป็นผู้ฟังที่ดีเพียงอย่างเดียวแท้ๆ

“พ่อของเธอมีเชื้อสายไทยสิงค์โปร์ แม่ของเธอเป็นชาวไทยแท้ เธอถูกเลี้ยงดูอยู่ที่เมืองไทยจนกระทั่งสิบขวบ หลังจากแม่ของเธอเสียชีวิต พ่อของเธอก็ส่งตัวเธอไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของประเทศสิงค์โปร์ เธอเติบโตขึ้นมาจากหลายครอบครัวหลายรูปแบบ ถูกชาวสเปนและอังกฤษขอตัวไปเลี้ยงดู แต่ไม่มีครอบครัวไหนดูแลเธอได้ดีพอ ทำให้เธอถูกส่งตัวให้ครอบครัวอื่นหลายต่อหลายครั้ง”

ธีโออ้างอิงจากข้อมูลที่สืบค้นมาได้ และแน่นอนว่าความจริงเหล่านี้ทำให้มัทยาถึงกับอึ้งไป เธอไม่รู้มาก่อนเลยว่าบนโลกใบนี้จะมีใครสักคนที่สนใจอดีตอันน่าสมเพชของเธอ

“ล่าสุดก่อนจะหนีออกมาจากบ้าน เธออยู่ในความดูแลของนักธุรกิจชาวฝรั่งเศส แต่เขาพยายามใช้ตัวเธอเป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจ เธอก็เลยหนีมาที่ประเทศไทย ฝึกฝนตัวเองอยู่ในค่ายมวยเพื่อหวังว่าจะชกมวยเลี้ยงชีพ แต่ถูกใส่ร้ายจากคนใกล้ตัว ทำให้ถูกไล่ออกมาจากค่ายมวยนั้น และใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ” เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวไม่มีข้อโต้แย้ง ธีโอจึงพูดต่อจนจบ

“สิ่งที่คุณพูดมา...ถูกต้องทุกอย่างค่ะ” ถึงตอนนี้น้ำตาของหญิงสาวก็ไหลออกมาเสียแล้ว เธอเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องนึกถึงอดีต และรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาอันเลวร้าย ที่คอยกลั้นแกล้งให้ชีวิตเธอเป็นเหมือนคลื่นลมไร้ทิศทาง ไร้ซึ่งที่พักพิง

ฟรานไม่มีความเห็นใดๆ สำหรับความจริงเรื่องนี้ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรเลย เขาเองก็เห็นใจมัทยาไม่น้อย และให้สัญญากับตัวเองว่าหากทำได้ เขาจะพยายามทำดีกับเธอให้มากที่สุด คิดแล้วก็ต้องขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่มอบชีวิตอันแสนสุขมาให้เขา...ชีวิตที่ต่างจากหญิงสาวข้างกายอย่างสิ้นเชิง

“นั่นคือเหตุผลแรกที่ฉันต้องการให้เธอได้ทำงานกับฉัน และเหตุผลที่สองก็คือฉันต้องการให้เธอมาอยู่ดูแลผู้หญิงของฉัน” ประโยคนี้ทำเอาทั้งฟรานและมัทยาเงยหน้าขึ้นมองธีโอเกือบจะพร้อมกัน

“ตอนนี้เธอคนนั้นยังไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่อีกไม่นานเกินรอหรอก” แววตาเจ้าเล่ห์ระคนกรุ้มกริ่มที่เสมองแก้วเครื่องดื่ม ทำให้มัทยามีโอกาสลอบมองเขา สิ่งเดียวที่เธอสรุปได้คือผู้ชายคนนี้ช่างอ่านออกยากเหลือเกิน เขาเปรียบดั่งตำราลึกลับที่ถูกสร้างขึ้นด้วยตัวอักษรที่ไม่มีใครในโลกเคยพบเห็น

“ฉันจะไม่ถามหรอกนะว่านายแน่ใจแล้วใช่ไหม สำหรับเรื่องผู้หญิงคนนั้น แต่ฉันอยากได้ยินอีกครั้งว่านายคิดดีแล้วหรือเปล่า อย่าทำอะไรที่ต้องเสียใจทีหลังนะธีโอ” ฟรานไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากเตือนอีกฝ่ายนัก คงเป็นเพราะกลัวว่าพลอยญาวีจะมีวิธีการโต้ตอบในแบบของเธอกระมัง

ผู้หญิงที่ถูกทำร้ายให้เจ็บปวดมากจนถึงขีดสุด สักวันหัวใจก็จะเข้มแข็งและสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง เหมือนอย่างกรณีของมัทยาที่ใช้ชีวิตตามลำพังได้โดยไม่เสียเปรียบใคร ทั้งที่เธอเป็นเพียงแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ เท่านั้น

“ผู้หญิงอย่างพลอยญาวีไม่มีพิษสงอะไรกับฉันทั้งนั้น และฉันจะไม่เปลี่ยนแปลงความคิดนี้แน่ ต่อให้นายยกเหตุผลอะไรมาอ้างก็ตาม ต่อไปอย่าเซ้าซี้ฉันให้รำคาญใจนะฟราน นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบ!” ธีโอเอ่ยเสียงห้วนจัด ขณะปรายตามองเพื่อนรักอย่างขัดใจ

“โอเครับทราบ ขอโทษทีนะที่ทำให้นายไม่พอใจ ฉันแค่ห่วงน่ะ” ฟรานยกมือยอมแพ้ ใบหน้าหล่อเหลายังมีรอยยิ้มแต่งแต้มตามเคย ถึงแม้จะโดนดุด้วยน้ำเสียงและแววตาน่ากลัวไปหมาดๆ ก็ตาม

นั่นก็เพราะฟรานคิดไว้เสมอว่าหากฝ่ายหนึ่งเปรียบดั่งไฟ อีกฝ่ายก็ควรเป็นเสมือนน้ำที่คอยลดความรุนแรงของไฟลง การยอมแพ้และไม่มากเรื่องทำให้ธีโอสงบลงได้เร็ว แต่ถ้าหากวันหนึ่งมีใครสักคนทำตัวเป็นลมที่คอยพัดกระตุ้นไฟให้ลุกโชติช่วงหนักขึ้น น้ำอย่างเขาคงลำบากเหลือแสน

“เอาล่ะ ธุระในวันนี้จบลงแล้ว อ้อ...เธอชื่อไทยว่ามัทยาใช่ไหม ต่อจากนี้ลืมชื่อนั้นไปได้แล้วนะ เพราะชื่อใหม่ของเธอคือโมนิก้า ฉันเป็นคนเลือกให้เอง แล้วก็จำไว้นะว่าต้องเข้มแข็งให้มาก อย่าปล่อยให้อดีตทำให้ต้องร้องไห้เหมือนเมื่อกี้อีก” ธีโอหันมาบอกกับหญิงสาว มัทยาไม่ได้ประหลาดใจกับเรื่องชื่อใหม่นัก เพราะนับตั้งแต่เกิดมา เธอก็มีชื่อเรียกเยอะแยะจนจำแทบไม่หมดอยู่แล้ว แต่หลังจากนี้ไปชื่อของเธอคือโมนิก้าเพียงชื่อเดียวเท่านั้น

“ค่ะ” สาวสวยที่เพิ่งได้ชื่อว่าโมนิก้ารับปากด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ส่วนเรื่องห้องพักและสิ่งที่เธอต้องรู้ ฟรานจะจัดการให้เอง ไม่ต้องห่วงเรื่องที่เซฟเฮาส์ของฉันมีเธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว เพราะคนของฉันไม่เคยทำอะไรนอกเหนือคำสั่ง แล้วฉันก็เชื่อว่าเธอดูแลตัวเองได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือความลับของฉันก็คือความลับของเธอด้วย เพราะนับจากวินาทีนี้ไป เธอคือพวกเราแล้ว ข้อนี้จำให้ขึ้นใจล่ะโมนิก้า”

“ฉันรับทราบทุกสิ่งที่คุณบอกแล้วค่ะ ขอให้มั่นใจได้เลยว่าฉันจะซื่อสัตย์กับคุณที่สุด ฉันจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สมกับที่คุณช่วยให้ฉันมีชีวิตที่ดีขึ้น คำว่าทรยศหักหลังจะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ ฉันขอสัญญาด้วยชีวิตของฉันค่ะ” โมนิก้ายิ้มหวาน สายตาที่มองธีโอเต็มไปด้วยความเทิดทูนบูชา ฟรานมองหญิงสาวข้างกายแล้วลอบยิ้ม

‘บทเด็กกะโปโลจะจริงจังขึ้นมาก็ดูน่าเชื่อถือเหมือนกันแฮะ’

ขณะนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์เครื่องจิ๋วแผดเสียงดังขึ้นจากกระเป๋าเสื้อของฟราน ชายหนุ่มรีบกดรับสาย เมื่อธีโอตวัดสายตารำคาญใจมองมา สิ่งที่อีกฝ่ายรายงานให้รู้อย่างละเอียดทำให้ฟรานยิ้มออก เขากดวางสายพร้อมเก็บโทรศัพท์ลงที่เดิม จากนั้นจึงบอกกับเพื่อนหนุ่มที่ยืนหน้าเครียดด้วยน้ำเสียงยินดี

“สายของเราสืบได้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน”

“พลอยญาวีน่ะเหรอ?”

“จะเป็นใครได้อีกล่ะ นอกจากลูกหนี้กิตติมศักดิ์ของนาย”

“เลิกยียวน แล้วรีบบอกมาเลยว่าเธออยู่ที่ไหน” ธีโอเร่งเร้า

“ซันซาร์ผับ” ฟรานรีบให้คำตอบโดยไม่รอช้าอีก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel