ตอนที่ ๔ ตัดขาดความสัมพันธ์ 2
ศศินกำหมัดแน่น และคิดว่าควรทำอะไรบางอย่างเพื่อบีบให้พลอยญาวียอมตกลงแต่งงาน
ธีโอนั่งดูละครฉากใหญ่ด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ ภาพที่ได้เห็นก่อนที่ศศินจะทำลายกล้องวงจรปิด ทำให้ชายหนุ่มรู้ได้ในทันทีว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหวังแล้ว ท่าทางของพลอยญาวีดูเด็ดขาดกว่าที่คิดเอาไว้เยอะทีเดียว น่าเสียดายนักที่ความมืดมิดในห้องนอนทำให้เห็นเพียงแค่รูปร่างที่เพรียวบางของเธอเท่านั้น ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะในวันพรุ่งนี้ เขาก็จะไปพบเธอที่บ้านอิศรเดชาอยู่แล้ว
“เราได้ล่ามที่นายต้องการมาแล้ว จะให้เข้ามาเลยไหม?” ฟรานเดินเข้ามารายงาน
“พาเข้ามาเลย ฉันต้องการรู้สิ่งที่คนพวกนั้นสนทนากันอย่างละเอียดที่สุด” ธีโอพยักหน้า และยังคงนั่งไขว้ขาอยู่บนโซฟาตัวเดิม สีหน้าราบเรียบไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ
ฟรานพยักหน้า ก่อนจะเดินออกไปเชิญล่ามสาววัยยี่สิบปีให้เดินตามเข้ามา มัทยา ทินศิริ เชิดหน้าใส่เขาอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก เพราะเวลานี้ดึกมากแล้ว แต่ก็ยังถูกเชิญแกมบีบบังคับให้มาช่วยเป็นล่ามให้ใครคนหนึ่งอีก ตอนแรกหญิงสาวก็พยายามปฏิเสธพัลวัน แต่เมื่อได้ยินว่าค่าตอบแทนนั้นเกินความจำเป็นแค่ไหน เธอก็รีบตอบตกลงทันที
“ต้องขอโทษด้วยที่พาเธอมาที่นี่ในเวลาแบบนี้ แต่นายของฉันต้องการล่ามที่ไม่ค่อยเป็นทางการนัก และฉันคิดว่าเด็กว่างงานอย่างเธอนี่แหละที่เหมาะสมที่สุด” ฟรานชี้แจง ขณะที่สายตาจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง
“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันว่างงาน” มัทยาถาม
“คนของฉันติดใบปลิวรับสมัครล่ามแปลภาษาชั่วคราวไปเมื่อหลายวันก่อน แล้วเธอก็เป็นคนแรกๆ เลยที่สนใจจะสมัคร...ทั้งที่ไม่เคยมีประวัติการทำงานมาก่อนด้วยซ้ำ” มุมปากสวยแบบผู้ชายยกขึ้นเล็กน้อย “นั่นแหละคุณสมบัติที่ฉันต้องการ”
“บ้าหรือเปล่า อยากได้ล่ามที่ไม่เคยทำงานให้ใครมาก่อนเนี่ยนะ คุณไม่กลัวฉันทำงานไม่ได้เรื่องเหรอ”
“อย่างเดียวที่เธอต้องรู้ไว้คือเธอต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด จากนั้นก็รับค่าจ้างไป แล้วก็...”
“แล้วก็ลืมไปซะว่าเคยทำงานให้ใคร...พอเถอะ คุณย้ำกับฉันมาไม่ต่ำกว่าห้ารอบแล้วนะ”
“งั้นนี่ก็เป็นรอบที่หก” ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก “เอาล่ะ ตามฉันมาได้แล้ว” พูดจบร่างกำยำก็หันหลังเดินนำเข้าไปข้างในก่อน
มัทยาเบ้ปากใส่โดยที่อีกฝ่ายไม่มีทางได้เห็น ก่อนจะเดินตามไปอย่างระแวดระวัง เพราะถึงแม้จะเห็นแก่ค่าตอบแทนมหาศาล แต่เธอก็ไม่ลืมว่าตัวเองเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ง่ายต่อการเสียเปรียบ
ธีโอขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อพบว่าล่ามที่ฟรานหามานั้นเป็นสุภาพสตรีที่มองเพียงผิวเผินก็รู้ได้ว่ายังเด็กอยู่มาก
มัทยากะพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นใบหน้าขาวคมที่หล่อเหลายากจะบรรยายของอีกฝ่าย ลมหายใจติดขัดขึ้นมาเสียดื้อๆ แต่เมื่อได้ยินเสียงกระแอมเบาๆ ของฟราน เธอก็รีบปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติกว่าเดิม
“เอ่อ...สวัสดีค่ะ” มัทยาพูดภาษาไทยและยกมือไหว้ตามมารยาทไทย
“สวัสดีครับ” ธีโอตอบเป็นภาษาเดียวกัน เพราะพอรู้ประโยคทักทายพื้นฐานอยู่บ้าง “เชิญนั่ง” คราวนี้ชายหนุ่มเอ่ยด้วยภาษาอังกฤษ ผายมือไปยังโซฟาตรงกันข้าม แต่ร่างบางก็ยังยืนปักหลักอยู่ที่เดิม
“นั่งสิ ฉันจ้างเธอมาแปลภาษานะ ไม่ใช่จ้างมายืนนิ่งอยู่แบบนี้” เสียงที่เต็มไปด้วยความตำหนิของฟรานดึงสติของมัทยากลับคืนมา เธอหันไปสบตาตอบอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงอย่างไม่พอใจนัก
“นายเอาเด็กสาวมาเป็นล่ามให้ฉันเหรอเนี่ย คิดได้ยังไงน่ะฟราน” ธีโอระบายยิ้มอ่อนโยน
“นายไม่ได้กำหนดเพศนี่นา แล้วฉันก็รีบด้วย ใครจะคิดล่ะว่ายัยเด็กนี่จะแสดงออกเป็นกันเองจนเกินไปแบบนี้” สองหนุ่มสนทนากันด้วยภาษาบ้านเกิด ด้วยคิดว่ามัทยาคงไม่เข้าใจ
“ถึงฉันจะดูเป็นเด็ก แต่รับรองว่าความสามารถไม่ทำให้ผิดหวังแน่ แค่นี้พอใช้ได้บ้างไหมล่ะคะ?” สำเนียงสเปนที่พ่นพรวดออกมาเป็นชุดทำให้ธีโอเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ ฟรานเองก็มองเธอเหมือนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองด้วยเหมือนกัน
“เยี่ยมจริงๆ เธอพูดภาษาสเปนได้ด้วย” ธีโอเอ่ยชื่นชม
“ฉันพูดได้ทั้งอังกฤษ สเปน และรวมถึงฝรั่งเศสด้วยอีกนิดหน่อย” หญิงสาวอธิบาย “ครอบครัวอุปการะฉันมีแต่ชาวต่างชาติทั้งนั้นเลยค่ะ แต่ตอนนี้ฉันแยกตัวออกมาใช้ชีวิตคนเดียวแล้ว”
“ฉันพอเข้าใจแล้ว เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ เรามาเริ่มงานกันเลยดีกว่านะ” ธีโอไม่อยากได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงชีวิตที่น่าอดสูของตัวเอง เพราะนั่นอาจส่งผลให้เขาพลอยรู้สึกหดหู่ตามไปด้วย
“ฉันพร้อมแล้วค่ะ คุณต้องการให้ฉันทำอะไรก็บอกมาได้เลย”
เมื่อล่ามสาวแสดงความพร้อมออกมาให้เห็นแล้ว ฟรานก็จัดการเปิดคลิปเสียงที่ตัดออกมาจากคลิปวิดีโอทันที มัทยาตั้งใจฟัง และทำหน้าที่แปลทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษให้ธีโอเข้าใจทุกถ้อยคำ เวลาผ่านไปไม่นานนัก หน้าที่ล่ามชั่วคราวของเธอก็สิ้นสุดลง ธีโอสั่งให้ฟรานนำเงินสดมากกว่าที่ตกลงกันไว้มอบให้หญิงสาว จากนั้นก็ขอให้ช่วยพาเธอไปส่งให้ถึงที่พัก
“อันที่จริงคุณไม่ต้องไปส่งฉันให้ยุ่งยากหรอกนะ ฉันดูแลตัวเองได้” มัทยาชะงักฝีเท้าลง แล้วหันมาบอกกับฟรานด้วยน้ำเสียงถือดี
“เกรงว่าฉันคงทำแบบนั้นไม่ได้ เธอก็ได้ยินที่เจ้านายฉันสั่งแล้วไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มค้าน
“เจ้านายเหรอ? ฉันนึกว่าคุณสองคนเป็นอย่างอื่นซะอีก ดูท่าทางสนิทสนมกันเหลือเกินนี่”
“พูดจาเลอะเทอะใหญ่แล้วนะ เลิกพูดมากแล้วตามฉันมาซะทีเถอะ”
หนุ่มหล่อส่ายหน้าไปมาอย่างนึกระอาในความคิดของสาวน้อยตรงหน้า ก่อนจะเดินตรงไปที่รถยนต์คันหรู มัทยายิ้มอย่างได้ใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ปฏิเสธก็คิดเอาเองว่าเขากับชายหนุ่มอีกคนมีความสัมพันธ์แบบชายรักชาย
“ฉันพูดถูกล่ะสิ น่าเสียดายนะ เจ้านายคุณน่ะหล่อมากเลย ไม่น่าเป็นเกย์เลย” คนตัวเล็กจีบปากจีบคอยั่วโมโหไปเรื่อย มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่ฟรานดันทำให้คนอย่างเธอไม่ชอบหน้าตั้งแต่แรกพบ ด้วยเหตุผลง่ายๆ นี้เองที่ทำให้มัทยาอยากกวนใจเขาให้มากที่สุด ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พบเจอกันอีก
ร่างกำยำที่สูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรชะงักนิ่ง ลอบถอนหายใจและชักรู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ผู้หญิงที่เดินตามหลังมาไม่ใช่คนที่รู้จักเขาดี เธอยังไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของเขาด้วยซ้ำ แล้วอะไรทำให้กล้าดีมาพูดจาล้ำเส้นถึงขนาดนี้
“เอ้า ยืนนิ่งทำไมล่ะ หรือว่าอายที่ฉันพูดความจริง” มัทยาเดินอ้อมมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม จังหวะนั้นเองที่ฟรานมีโอกาสสำรวจเธอทั่วทั้งตัว
สุภาพสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าตัวเล็กมากหากนำมาเปรียบกับตัวเอง เธอน่าจะเตี้ยกว่าเขาเกือบยี่สิบเซนติเมตรเลยทีเดียว ผมดำสลวยที่ซอยสั้นประบ่าบอกถึงบุคลิกอันปราดเปรียว ขัดกับผิวขาวเนียนละเอียดราวกับลูกผู้รากมากดี ใบหน้ารูปไข่นั้นก็จิ้มลิ้มน่ารักตามแบบสาวเอเชีย
น่าเสียดายที่เธอดูแก่นแก้วและปากจัดเกินไปหน่อย ไม่อย่างนั้นฟรานคงมองว่าเธอก็คือหญิงไทยที่น่าสนใจมากอีกคนหนึ่ง
“มองอะไร” มัทยาย่นคิ้วสงสัย เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังสำรวจเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มือบางกระชับกระเป๋าผ้าแบบสะพายข้างสีน้ำตาลเข้าหาตัว แล้วเชิดหน้าใส่ด้วยความไม่พอใจ
“มองเธอ”
“รู้แล้วว่าคุณมองฉัน! ฉันหมายความว่ามองทำไม”
“ก็แค่มอง”
“เฮ้ย! อย่ายั่วโมโหฉันนะ”
“ฉันต่างหากล่ะที่ควรโมโห เธอเป็นใครมาจากไหน ถึงได้กล้ามากล่าวหาว่าฉันเป็นเกย์”
“แล้วใครใช้ให้คุณไม่เถียงล่ะ ถ้าไม่ได้เป็นก็เถียงสิ ไม่ใช่ทำหน้านิ่งเหมือนเป็นอย่างที่ฉันว่าจริงๆ”
“เธอดูออกด้วยเหรอว่าเกย์เป็นยังไง แล้วผู้ชายเป็นยังไง เก่งเรื่องพวกนี้นักรึไง” คราวนี้ฟรานพ่นภาษาสเปนรัว “แต่ถ้าไม่รู้ ฉันจะใช้สิ่งนี้บอกเธอเอง” พูดจบมือแข็งแรงก็กระชากร่างบอบบางเข้าสู่อ้อมกอด ริมฝีปากที่อุ่นจนเกือบร้อนแนบลงบนข้างแก้มเร็วๆ ส่งผลให้หญิงสาวตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ
“เฮ้ย! ปล่อยนะ คุณทำแบบนี้ได้ยังไง!” มัทยาหน้าแดงก่ำ
“ดีเท่าไรแล้วที่ฉันไม่จูบเธอ เห็นว่าเป็นเด็กหรอกนะถึงไม่ทำน่ะ” พูดจบฟรานยอมปล่อยคนที่ดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ
มัทยาหอบหายใจรุนแรงแข่งกับอัตราการเต้นของหัวใจ ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง ไม่มีคำต่อว่าใดๆ หลุดออกมาจากปากของเธออีก นอกจากรีบเงื้อหมัดขึ้นสูงพอที่จะจัดการกับอีกฝ่ายได้ แล้วพุ่งเข้าเต็มกรามขวา ฟรานเสียหลักเล็กน้อย เพราะยังไม่ทันได้ตั้งตัว ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ถูกหญิงสาวตวัดขาเตะเข้าที่ข้อพับขา ร่างสูงทรุดลงคุกเข่า และเอนตัวหลบลูกเตะที่หมายจะฟาดเข้าที่ต้นคอได้อย่างหวุดหวิด
ฟรานรีบผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก สายตาจ้องมองมัทยาด้วยความไม่ไว้วางใจ เพราะการที่ผู้หญิงธรรมดารู้วีธีการต่อสู้ราวกับเป็นมืออาชีพ ทำให้ชายหนุ่มไม่อาจละเลยได้ รวมทั้งจะปล่อยเธอกลับไปง่ายๆ ไม่ได้ด้วยเช่นกัน อย่างน้อยก็ต้องแน่ใจก่อนว่าสาวน้อยตรงหน้าไม่ได้เป็นสายของศัตรู
“ทำไม...จะสู้กับฉันเหรอ มาเลย! เข้ามาสิ!” มัทยากำหมัดแน่นขึ้น เตรียมตัวอยู่ในท่าพร้อมสู้ที่ดูทะมัดทะแมง
“เธอเป็นใคร...ใครส่งเธอมา” ฟรานย่างสามขุมเข้าหา แต่หญิงสาวเดินวนตามเขาอย่างมีชั้นเชิง
“พูดบ้าอะไรของคุณ ใครเป็นคนส่งฉันมาที่นี่น่ะเหรอ...เหอะ ก็คุณเองนั่นแหละที่ไปรับฉันมาน่ะ”
“พูดความจริงแล้วเธอจะได้กลับไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย” แล้วฟรานก็ผิวปากเป็นจังหวะที่รู้กันเฉพาะภายใน เพียงชั่วครู่เหล่าชายชุดดำที่ยืนประจำอยู่ตามจุดต่างๆ ก็รีบกรูกันเข้ามาล้อมมัทยาเอาไว้
“เฮ้ย! ทำไมต้องเรียกคนพวกนี้มาด้วยล่ะ นี่มันเรื่องของฉันกับคุณนะ คุณล่วงเกินฉัน ฉันก็ต้องสั่งสอนคุณ ถ้าคิดจะรุมกันแบบนี้มันไม่แฟร์เลย!” คนเก่งเริ่มใจเสียขึ้นมา แต่ยังไม่ยอมแสดงอาการออกมาให้เสียชั้นเชิง
“เธอรู้วิธีต่อสู้ เธอต้องไม่ใช่เด็กว่างงานธรรมดาแน่” ฟรานยังคงจับตามองหญิงสาวอยู่ตลอด
“หา! นี่อย่าบอกนะว่าแค่ฉันต่อยเตะเป็น คุณก็คิดว่าฉันเป็นตัวอันตรายอะไรทำนองนั้นน่ะ”
“งั้นต้องพิสูจน์หน่อยแล้วว่าใช่อย่างที่ฉันคิดไหม” ชายหนุ่มส่งสัญญานให้ชายคนหนึ่งกระโจนพรวดเข้าล็อกตัวมัทยา แต่เธออาศัยความไวกว่าตัดกำลังอีกฝ่ายด้วยการใช้ศอกกระทุ้งเข้าที่ท้อง แล้วดึงแขนข้างหนึ่งของเขาไพล่หลังเอาไว้ ก่อนจะผลักเต็มแรงจนล้มคะมำไปกองอยู่แทบเท้าฟราน
“ชัดแล้วว่าเธอเป็นตัวอันตราย” ชายหนุ่มกระตุกยิ้มที่มุมปาก “จับเธอไว้!” แล้วสั่งให้ชายฉกรรจ์หลายคนกรูกันเข้ามาหาหญิงสาว
“เฮ้ย! มันจะไปกันใหญ่แล้วนะ” ร่างบางก้มตัวหลบเป็นพัลวัน แต่ก็ต้องพลาดท่าถูกจับได้ เพราะอีกฝ่ายมีจำนวนและกำลังคนเหนือกว่า
“คราวนี้บอกมาได้แล้วว่าใครส่งเธอมา”
“จะบ้าเหรอ ไม่มีไอ้บ้าที่ไหนส่งฉันมาทั้งนั้นแหละ!”
“ฉันจะไม่ใจเย็นกับคนที่กล้าสอดแนมเข้ามาที่นี่หรอกนะ ถึงเธอจะเป็นผู้หญิงก็เถอะ”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ใครสอดแนมใคร คุณเป็นคนพาฉันมาที่นี่เองนะ!”
“บอกฉันมาว่าใครส่งเธอมาที่นี่!”
“ไม่มีใครส่งฉันมาทั้งนั้นแหละ ฉันก็แค่เคยทำงานในค่ายมวยเท่านั้นเอง!” มัทยาตะโกนสุดเสียง
“เธอ...ว่ายังไงนะ?” ถึงคราวฟรานบ้างแล้วที่ต้องทำหน้าตาตกใจ “แล้วทำไมฉันต้องเชื่อด้วยล่ะ”
“ก็ถ้าคุณมีสมองก็ช่วยไตร่ตรองดูเอาเองล่ะกัน ถ้าฉันเป็นอย่างที่คุณกล่าวหาจริง ฉันคงมีความเป็นมืออาชีพจนไม่แสดงอะไรออกมาให้ถูกจับได้หรอก! ฟังนะ...ฉันก็แค่เคยทำงานในค่ายมวยเพื่อหาเงิน ฉันเป็นแค่คนร่อนเร่คนหนึ่ง ฉันไม่ได้เป็นสปายคอยสอดแนมอะไรให้ใครทั้งนั้น ฉันเดินทางไปเรื่อยๆ เพื่อหาเงิน เข้าใจรึยังเล่า!” หญิงสาวบอกประวัติคร่าวๆ ของตัวเอง ก่อนจะสะบัดตัวให้หลุดจากพันธนาการของชายสองคนที่ล็อกแขนเอาไว้แน่น แต่ก็ยังดิ้นไม่หลุด
“ถ้าเธอพูดออกมาตั้งแต่แรกก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก”
ฟรานพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้พรรคพวกปล่อยตัวมัทยา แล้วกลับไปยืนเวรตามจุดต่างๆ ตามหน้าที่เหมือนเดิม
“คุณฟังฉันซะที่ไหนล่ะ!” หญิงสาวลูบข้อมือที่แดงเถือกของตัวเองเบาๆ
“เธอว่าฉันเป็นเกย์ ฉันว่าเธอเป็นตัวอันตราย...ฉันจะถือว่าเราหายกัน” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ
“หายกันบ้าอะไรล่ะ! ฉันไม่ลืมหรอกนะว่าคุณล่วงเกินฉัน”
“แต่เธอก็ซัดเข้าที่หน้าฉันเต็มแรงไปแล้วนี่ ยังไม่รวมเตะจนทรุดด้วยอีกอย่างนะ”
“คุณก็ให้คนของคุณรุมจับฉันจนเจ็บข้อมือไปหมดแล้วเหมือนกันแหละ”
“เพราะฉะนั้นเราถึงเสมอภาคกันยังไงล่ะ หรืออยากโดนหอมแก้มอีกสักทีล่ะ”
“ไอ้ฝรั่งบ้า!” มัทยาตวาดด้วยภาษาเกิดเสียงดังลั่น
“ฉันอาจไม่เข้าใจภาษาของเธอ แต่พอเดาออกนะว่านั่นไม่ใช่คำชมหรอก” ฟรานรู้ทัน เพราะสังเกตจากสีหน้าท่าทาง รวมทั้งน้ำเสียงห้วนจัดของสาวน้อยตรงหน้า “เอาเป็นว่าจะขึ้นรถได้รึยัง ฉันง่วงนะ นี่มันดึกมากแล้วด้วย”
“นี่ถ้าฉันไม่กลัวเปลืองค่าแท็กซี่ละก็นะ ฉันไม่ยอมไปกับคุณหรอก”
มัทยาบอกตามความจริง สำหรับการใช้ชีวิตคนเดียวและต้องทำทุกอย่างเพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเอง มันทำให้เธอไม่อยากปล่อยเงินออกจากกระเป๋าไปง่ายๆ ถึงแม้ว่าเงินจำนวนมากที่ได้รับจากธีโอจะช่วยให้อยู่อย่างไม่ขัดสนได้เป็นเดือนๆ ก็ตาม
ฟรานยืนกอดอกมองคนตัวเล็กเปิดประตูรถ แล้วพาตัวเองเข้าไปนั่งด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดประตูอีกด้านเพื่อทำหน้าที่พลขับ ระหว่างทางสองหนุ่มสาวไม่ได้เอ่ยอะไรกันอีก เพียงครู่เดียวฟรานก็สังเกตเห็นมัทยาผล็อยหลับไป
คิดแล้วชีวิตของเด็กสาวข้างกายก็ดูน่าเห็นใจอยู่เหมือนกัน ฟรานจำสภาพห้องพักโกโรโกโสของเธอได้ติดตา มัทยาพักอยู่ย่านที่คนไทยเรียกกันว่าสลัม ภายในบ้านเช่าหลังเล็กของเธอไม่มีข้าวของอะไรมากนัก นอกจากเบาะปูนอน และของใช้ส่วนตัวจำนวนหนึ่ง เธอไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้ด้วยซ้ำ เขาถึงต้องลำบากตามหาเธอจากที่อยู่ที่เขียนไว้ในใบสมัครงาน
ฟรานถอนหายใจ ต่อให้เห็นใจมัทยาแค่ไหน เขาก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่มีสิทธิ์ช่วยเหลือเธอ
