บทที่ 14 พี่สาวคนสวย
เหิงเยว่หันมองถาดขนมไม่ละสายตา หลังจากภาพในอดีตจางไป นางได้สติจึงเห็นว่าองค์ชายรองกำลังจับจ้องใบหน้านางอยู่เช่นเดียวกัน แววตาเข้มที่มองตรงมามีความหมายหลายอย่าง หากแต่นางไม่อาจเอื้อมคิดสบตา จึงก้มหน้าลง แล้วถามอย่างไม่มั่นใจ
“หน้าหม่อมฉันมีอะไรติดฤาไม่เพคะ” องค์ชายรองส่ายศีรษะ พลางส่งยิ้มให้ แล้วหันหลังเดินกลับไป
“เดี๋ยวก่อนเพคะ” หลังจากกล่าวรั้งเขาไว้ เหิงเยว่รีบวิ่งเข้าไปในครัว แล้วออกมาพร้อมกับขนมถั่วดำสี่ห้าชิ้น
“อันนี้ขององค์ชายรองเพคะ ยังอุ่นอยู่เพราะพึ่งขึ้นจากเตาเมื่อครู่” เพียงสบตาแสนอ่อนโยนคู่นั้น พร้อมด้วยน้ำคำหวานของนาง ทำให้หัวใจขององค์ชายรองเต้นรัวถี่ ค่อยๆ เอื้อมมือมารับไว้ ส่งยิ้มอบอุ่นสุดท้ายแล้วเดินจากไป เหิงเยว่มองตามร่างสง่างาม อันที่จริงแล้วหากนางไม่ได้เป็นคนสนิทของพระสนมเจียวจิน องค์ชายรองคงไม่เมตตาถึงเพียงนี้
สายน้ำไหลรินลงสู่ด้านใต้ ธารน้ำใสไหลหล่อเลี้ยงชาวเมืองจ้านหลิวมานานนับล้านๆ ปี มิเคยเหือดแห้ง เด็กชายตัวเล็กแต่งตัวด้วยชุดชาวบ้านธรรมดาเดินมาตักน้ำ เพื่อนำไปรดสวนผักและหุงหาอาหารเป็นกิจวัตรประจำวัน
“เอ๊ะ...นั่นผู้ใดกัน มานอนอยู่ตรงนั้น” เด็กชายวางหาบแล้วรุดไปตรวจสอบ สองเท้าก้าวเข้าไปหาช้าๆ สำรวจนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สะดุดตากับชุดที่ถักทอด้วยเส้นไหมราคาแพง เป็นของหายากสำหรับประชาชนคนธรรมดา แลเหตุใดหญิงปริศนาผู้นี้ จึงมานอนหลับใหลตรงพงหญ้า เด็กชายตัวเล็กเงยหน้ามองรอบๆ ให้แน่ใจอีกครั้งว่ามีนางเพียงผู้เดียว
“การแต่งกายเยี่ยงนี้ ข้ามิเคยเห็น หรือว่านางจะเป็นคนของวังหลวง” มือน้อยๆ ขยับเข้าไปใกล้แล้วอังที่ปลายจมูก ปรากฏว่ายังมีลมหายใจอ่อนๆ แทรกมากระทบนิ้วก่อนชักมือกลับ ดวงตาเล็กสำรวจร่างที่นอนหลับใหลเป็นครั้งสุดท้าย
“พี่สาวๆ ” เขาตัดสินใจเรียก ทว่าร่างบางยังคงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ในตอนนี้เด็กชายตัวเล็กเข้าใจแล้วว่านางไม่ได้แค่หลับใหลเท่านั้น เขามองรอบๆ อย่างใช้ความคิด แล้วตัดสินใจหันหลังวิ่งกลับไปบ้าน ไม่นานนักจึงกลับมาพร้อมหญิงชราผู้หนึ่ง ทั้งสองเดินตรงมาด้วยท่าทางรีบร้อน
“พี่สาวอยู่ตรงนั้น แม่ช่วยข้าพยุงนางกลับบ้านที” หลังจากหญิงชรามองเห็น จึงรีบเข้าไปประคองร่างอันไร้สติของซูเจินกลับมาด้วยความทุลักทุเล ก่อนวางนางลงบนเตียงไม้เก่า ซึ่งอยู่ในกระท่อมไม้ขนาดพอดี ภายในตบแต่งด้วยสิ่งของเรียบง่ายไม่มีราคา สองแม่ลูกใช้ชีวิตแบบพอเพียงปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ไว้กินตามมีตามเกิด
“ทำอย่างไรดี นางไม่ยอมฟื้น” เด็กชายตัวเล็กถามมารดาด้วยความเป็นห่วง
“ไปเอาน้ำแกงที่แม่ต้มไว้มา นางอาจหมดแรงเพราะไม่ได้กินอาหารหลายวัน” สองแม่ลูกประคองซูเจินนั่ง แล้วหยอดน้ำแกงใส่ปากช้าๆ อย่างใจเย็น หลังจากน้ำแกงหมดถ้วย จึงเอนกายนางลงนอนราบ พลางยกผ้ามาปิดเพื่อให้ความอบอุ่น ในขณะที่สองแม่ลูกต้องย้ายลงมานอนกับพื้น
“คืนนี้เรานอนกันที่พื้น เจ็บหลังเสียหน่อย เจ้าทนไหวไหมเฟยหลง”
“ข้าทนได้ ข้าอยากเป็นทหาร พ่อบอกกับข้าเสมอว่าการเป็นทหารต้องอดทน และมีระเบียบวินัยเป็นอย่างมาก ดังนั้นกับแค่การนอนพื้น เหตุใดข้าจึงทนไม่ได้กันเล่า” หญิงชราได้ฟังจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะเด็กชายด้วยความเอ็นดู ทั้งสามนอนหลับใหล ข้ามพ้นผ่านคืนมา ยามใกล้รุ่งเสียงไก่ที่เลี้ยงไว้ขันรับปลุกเรียกให้หญิงชราลุกขึ้นหุงหาอาหาร
“แม่หนู เป็นอย่างไรบ้าง” หลังจากได้สติ ซูเจินมีแรงขยับกายลุกขึ้นนั่ง พลางมองไปรอบๆ ด้วยสายตาอ่อนล้า พบกับข้าวของเครื่องใช้ไม่คุ้นตา เมื่อย้อนเหตุการณ์ต่างๆ อันเลวร้ายที่ผ่านมาได้ รู้สึกใจหายวาบเจ็บลึกอยู่ในอก
“ข้ายังไม่ตาย” นางหันพูดกับหญิงชราแปลกหน้า ภาพสุดท้ายที่จำได้คือท้องฟ้าสีคราม หากตายแล้วได้พบกับพี่ลี่เซียน นั่นอาจเป็นความสุขเดียวที่นางปรารถนา
“โชคดีนัก ที่เฟยหลงไปพบเจ้าทันเวลา” ร่างเล็กหลุบตาต่ำลง พบกับเด็กชายส่งยิ้มอ่อนให้ ในมือถือถ้วยข้าวและน้ำแกง
