ตัวประกอบที่ไร้ค่า 2
"พู่กัน ๆ" นางเอ่ยพึมพำพลางมองหาสิ่งที่ต้องการ
ในหอบรรพชนมีพู่กัน หมึก และม้วนกระดาษเตรียมเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว แต่ถูกเก็บไว้ในหีบใบไหนนางก็ไม่มั่นใจ สตรีร่างระหงเดินวนดูตามจุดต่าง ๆ ในหอบรรพชนจนพบกับตู้เก็บสองหลัง เปิดเข้าไปก็พบว่าฝั่งหนึ่งใช้เก็บอุปกรณ์กราบไหว้ อีกฝั่งเป็นม้วนกระดาษและแท่นหมึก
"อยู่นี่เอง"
คุณหนูของจวนไอค่อกแค่กหลังเผลอสูดฝุ่นเข้าไป หอบรรพชนไม่ได้มีคนมาทำความสะอาดนานขนาดไหนกันจึงทำให้สำลักจนเจ็บคอเช่นนี้ แต่สวี่ซือเหยาไม่เห็นจำเป็นต้องใส่ใจเลย อีกไม่นานก็จะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว คิดได้ดังนั้นก็หยิบเครื่องเขียนออกมาหนึ่งชุด นำมันมากางแล้วเขียนเรียบเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่
ชีวิตนี้นางจะไม่พลาดแบบเดิมนางต้องรอด และสามีกับลูกที่นางเสียไป นางก็จะยอมปล่อยให้หลุดมืออีก
กว่าจะสำนึกได้ก็สายเกินแก้ บางคนพบจุดจบที่ไม่อาจทำอะไรได้อีกไปตลอดกาล แต่สวี่ซือเหยายังได้รับโอกาสให้กลับมาไม่ว่าด้วยเหตุใด นางขอใช้มันเพื่อไม่ให้จบแบบเดิมตามปลายปากกานักเขียน ชาตินี้นางมีสมองและสองมือไม่ต้องถูกลิขิตโดยปลายปากกานักเขียนอีกแล้ว
ความสัมพันธ์และเหตุการณ์ใหญ่ที่มีต่อชีวิตของนางถูกลากโยงเส้นเชื่อมต่อกัน จุดชีวิตบัดซบของสวี่ซือเหยาล้วนมีจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ มาจากการกระทำไม่ก็คำพูดของผู้เป็นแม่เลี้ยง
สวี่ซือเหยาใช้เวลาหลายชั่วยามในการใคร่ครวญอยู่ในหอบรรพชน บ่าวไพร่เพียงยกสำรับอาหารมาแล้วเรียกให้นางไปเอา บิดายังไม่หายโกรธจึงต้องทนทุกข์อยู่เช่นนี้ ใครมองมาก็คงคิดอย่างนั้น แต่สวี่ซือเหยากลับอยากให้มันยืดเยื้อออกไป นางจะได้วางแผนได้รับกุมมากขึ้น
อย่างน้อยต่อจากนี้ก็มีเรื่องหนึ่งที่นางหมายมาดไว้แล้วว่าจะทำ เพื่อไม่ให้ตัวเองตกอับเช่นกาลก่อน อย่างเช่นการหาเงินเข้าบ้าน หากนางมีเงินไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรย่อมสะดวกมากขึ้น สวี่ซือเหยาค่อย ๆ คิดค่อย ๆ จัดการ เพราะบางเรื่องมันนานจนนางลืมเรื่องราวอดีตไปบ้างแล้ว
แต่อย่างน้อยนางก็ได้เปรียบที่รู้เหตุการณ์สำคัญล่วงหน้าหลายเรื่อง แม้จะอ่านหนังสือมาหลายรอบ แต่หนังสือไม่อาจบรรยายรายละเอียดเชิงลึกของตัวประกอบไว้ ฉะนั้นนางต้องพึ่งพาตัวเองให้รอดพ้นวิกฤตชีวิตจากชาติก่อนให้ได้
สวี่ซือเหยาถูกขังอยู่หอบรรพชนเวลาสามวัน ในที่สุดโทษของนางก็ถูกตัดสินจากหัวหน้าตระกูลซึ่งเป็นเวลาเท่ากับชาติภพก่อน เพราะนางวางแผนไว้ในใจหลายอย่างจึงไม่ได้สนใจว่าจะถูกขังไว้กี่วัน ความจริงอยากให้นานกว่านี้แต่ครั้งก่อนถูกขังไว้เจ็ดวัน มาชาตินี้ก็คงไม่ต่างกันซึ่งเป็นตามที่นางคาดคิดเอาไว้ ระหว่างถูกขังอยู่ในหอบรรพชนคนที่แวะมาเยี่ยมนางมีฮูหยินรองคนเดียว แม่เลี้ยงผู้โลภมากยิ่งกว่าปรารถนาสมบัติของนางที่มารดาทิ้งไว้ให้เป็นมรดก
"อาเหยา วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง" หลี่หวางอี้เป็นคนยกสำรับอาหารมาให้เองถึงหน้าห้อง หวังแสดงความมีน้ำใจและหวังดีให้สวี่ซือเหยาได้เห็น อีกทั้งลูกเลี้ยงของนางเป็นคนโง่เขลานางบอกอะไรก็เชื่อฟังไปหมดสมกับที่นางล้างสมองมาหลายปี คุ้มค่าจริง ๆ ในที่สุดวันนี้นางก็จะได้สมปรารถนาสักที
"ไม่ดีไม่แย่เจ้าค่ะ ขอบคุณฮูหยินรองที่เป็นห่วง" สวี่ซือเหยาเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มเศร้าหมอง แสร้งหลบสายตาเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่านางรู้สึกไม่ดี
"สาวใช้บอกเจ้าเรื่องคำตัดสินของท่านพ่อหรือยัง"
"ขับไล่ นางกล่าวเช่นนั้นเจ้าค่ะ" สวี่ซือเหยาเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินรองด้วยความเศร้าเสียใจ ดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ท่าทางดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก ทว่าฮูหยินรองกลับแย้มยิ้มอยู่ภายในใจ
"เสี่ยวเหยา เจ้าช่างน่าสงสารนัก" หลี่หวางอี้วางทาบมือตัวเองลงบนมือของนางอย่างให้กำลังใจ สวี่ซือเหยามองมันด้วยสายตาว่างเปล่าก่อนจะแสร้งยิ้มซาบซึ้งกลับไปให้ ผ่านมาตั้งหลายชาติภพนางจะแสดงละครไม่เป็นได้อย่างไร อีกอย่างชาตินี้นางไม่ได้โง่เขลาเดินเรื่องตามปลายปากกาแล้ว เพราะนางจะลิขิตชีวิตนี้เอง
"ขอบคุณฮูหยินรองที่เมตตาเสี่ยวเหยาเจ้าค่ะ"
"เจ้าอย่าเป็นห่วงไปเลย หลังนายท่านหายโกรธแล้ว ข้าจะหาทางช่วยเจ้ากลับมานะ"
สวี่ซือเหยายิ้มค้าง ครั้งก่อนนางก็กล่าวเช่นนี้ไม่มีผิดเพี้ยน แต่สุดท้ายก็ยึดเอาทรัพย์สินของนางที่เป็นสินเดิมมารดาไปเป็นของส่วนตัว
"จริงสิ เจ้าฝากสินเดิมไว้ที่ข้าเป็นอย่างไร หากเอาของไปด้วยหมดนายท่านอาจสงสัยได้ หากเขาเลิกจับตาดูคนในจวนแล้ว ข้าค่อยแอบส่งให้เจ้าทีละชิ้นสองชิ้นเป็นอย่างไร"
