งานแต่งงานแบบลวกๆ
หลี่หวางอี้มอบรอยยิ้มที่เป็นดั่งยาพิษเคลือบน้ำตาลให้เด็กสาวผู้นี้มาหลายปี จนตอนนี้เติบใหญ่เป็นหญิงสาวเต็มตัว สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจปลอม ๆ มาหลายปี ป่านนี้คงเชื่อฟังไปหมดทุกคำเป็นแน่
อย่างไรนางก็จะถูกไล่ออกไปอยู่แล้ว ทรัพย์สินราคาแพงไม่จำเป็นสำหรับหญิงสาวสามัญชนหรอก เก็บไว้นางยังมีประโยชน์กว่า บุตรสาวของนางก็อยู่ในวัยกำลังแต่งเนื้อแต่งตัว หากไปเข้าตาคุณชายสักคนนางก็พลอยสบายไปด้วย ดังนั้นต้องทำให้บุตรสาวของนางโดดเด่นขึ้นมา และเงินก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างช่วยไม่ได้
"นั่นเป็นความคิดที่ดีมากเจ้าค่ะ" สวี่ซือเหยายิ้มกว้างตอบ หลังสตรีผู้นั้นกลับไปก็มีบ่าวผู้หนึ่งนำของที่ต้องการมาให้ สตรีผู้นี้เคยเป็นผู้ดีตกยาก ตระกูลล้มละลาย และกลายเป็นสาวใช้ในจวน เป็นเพียงไม่กี่คนที่พอจะปฏิบัติต่อนางอย่างไม่ลำเอียงอยู่บ้าง อาจเพราะฉางเหลียนผ่านความทุกข์ยากมาหลายปี ทำให้นางฉลาดพอที่จะแยกได้ว่าใครเป็นคนดี และใครที่ไม่สามารถล่วงเกินได้ เสียแต่ว่าชาติก่อนนางโง่เขลามองไม่เห็นความดีที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้
"คุณหนูต้องการปิ่นนี้หรือเจ้าคะ?" สวี่ซือเหยาก้มมองของในหีบใบเล็กที่ฉางเหลียนนำมา นางจับสำรวจดูสัมผัสมันทุกชิ้น ไม่มีชิ้นไหนถูกสับเปลี่ยนไป อาจเพราะหลี่หวางอี้มั่นใจว่าของเหล่านี้จะต้องตกเป็นของนางจึงไม่ได้ยื่นมาสับเปลี่ยนออกไป
"ใช่แล้ว ข้ามีเรื่องไหว้วานเจ้าหน่อยได้หรือไม่"
"อะไรหรือเจ้าคะ"
"นอกเขตกำแพงเมือง ข้างลำธารจะมีต้นพลับต้นใหญ่ นำหีบสองใบนี้ไปฝังไว้ใกล้ ๆ รากมันให้ข้าที"
"คุณหนูคิดจะ…" ฉางเหลียนมองคุณหนูใหญ่ด้วยความตกใจ ไม่คิดว่านางจะมีความคิดเป็นของตัวเองเช่นนี้ เพราะตลอดหลายปีมานี้นางเห็นคุณหนูทำตามคำสั่งของฮูหยินรองมาโดยตลอด
"ของเหล่านี้เป็นสินเดิมของท่านแม่ ข้าไม่ยอมให้คนอื่นเอาไปหรอก" สวี่ซือเหยาเงยหน้ามองสบตากับสาวใช้อย่างจริงจัง คนในจวนนี้แทบจะไว้ใจใครไม่ได้แต่ฉางเหลียนเป็นคนที่ท่านแม่ของนางเคยช่วยชีวิตไว้นางเชื่อว่าจะไม่ถูกหักหลังเพราะอดีตฉางเหลียนก็เคยเอ่ยเตือนนางทางอ้อมหลายครั้งแล้ว แต่เป็นนางที่โง่งมเอง
"เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ" ฉางเหลียนรับคำอย่างหนักแน่น ก่อนจะครุ่นคิดหาวิธีนำของเหล่านี้ออกจากจวนไปโดยที่ไม่มีใครรู้เห็น และคงต้องทำในช่วงกลางคืนเท่านั้น
"ของในหีบใบหญ้า หากเจ้าได้ออกไปซื้อของก็จงนำติดตัวไปขายวันละสามชิ้น ข้าจะแบ่งค่าตอบแทนให้"
"ทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าขอตัวก่อน คุณหนูรักษาตัวด้วย"
สวี่ซือเหยามองตามร่างของสาวใช้ไปด้วยความคาดหวังว่านางจะทำสำเร็จ ถึงหัวหน้าตระกูลจะบัดซบ แต่คนที่ไม่ได้เห็นผิดเป็นชอบก็หลงเหลืออยู่ให้นางได้หายใจหายคอคล่องบ้าง
ตลอดหลายวันมานี้ฉางเหลียนคอยแอบนำตั๋วเงินมาส่งให้นางในตอนที่ต้องยกสำรับมา หากเวลาใดฮูหยินรองอาสามาเอง สาวใช้คนนั้นก็จะแอบมาที่นี่กลางดึก จนเปลี่ยนของเป็นเงินได้ประมาณหนึ่ง สวี่ซือเหยาก็บอกให้หยุด ไม่เช่นนั้นฮูหยินรองอาจสงสัยได้ ของที่ไม่มีราคาค่างวดอะไรจำต้องฝากไว้ที่หลี่หวางอี้อย่างช่วยไม่ได้ หากมีโอกาสนางจะกลับมาทวงคืนแน่
และแล้ววันถูกปล่อยตัวก็มาถึง แต่ระยะเวลาเจ็ดวันมานี้นางได้วางแผนทำอะไรหลายอย่าง ซึ่งมีฉางเหลียนคอยช่วยเหลือ แม้จะถูกปล่อยตัวมานางก็ยังถูกสั่งกักบริเวณ แต่บ่าวบางคนทำราวกับนางเป็นนักโทษก็ไม่ปาน สวี่ซือเหยาสมเพชคนเหล่านี้มากกว่าเห็นใจ คิดว่าสกุลสวี่จะคุ้มกะลาหัวได้ตลอดหรือ หากไม่แยกแยะเสียบ้าง ภายหน้าต้องลำบากเพราะการกระทำของตนแน่
"เปลี่ยนเสื้อผ้าเจ้าค่ะคุณหนู" สาวใช้คนนั้นบอกแล้วออกไปไม่อยู่ช่วย
สวี่ซือเหยามองชุดสำหรับพิธีมงคลแล้วก็ถอนใจ นางแต่งกายและทำผมด้วยตัวเองอย่างเรียบง่าย กาลก่อนคิดว่าอย่างน้อยตบแต่งไปก็ยังได้อยู่ในเรือนจึงไม่ได้นำอะไรติดตัวออกไปด้วย ใครจะนึกเล่าว่าหลังพิธีกราบไหว้ฟ้าดินแล้วเสร็จ ท่านพ่อก็ขับไล่ไสส่งนางในทันที
สตรีผู้ได้ข้ามภพชาติมาหนึ่งครั้ง นำเครื่องประดับส่วนตัวบางชิ้นยัดใส่อกเสื้อเท่าที่นำไปด้วยได้ ช่วงแรกของการตั้งตัวอย่างไรก็ต้องใช้เงิน ต่อให้นางจะกลับมาทวงคืนภายหลังก็อีกพักใหญ่ หลังดึงผ้าคลุมหน้าลงแล้วเปิดประตูออกมา ก็เห็นบ่าวสองคนรออยู่เพื่อนำทาง บ่าวในเรือนยังทำงานไปตามเดิมเสมือนวันนี้ไม่ได้มีพิธีสำคัญอะไร น่าแปลกที่ชาติก่อนนางโง่เง่าถึงขนาดไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ไปได้ ราวกับว่าถูกสวรรค์ปิดตาให้หน้ามืดตามัวเดินในเส้นทางที่ผิด
มาถึงลานกว้างของสวนด้านหน้าเรือนหลัก ก็ถูกสาวใช้ที่ไม่เห็นหัวดันไหล่ให้นั่งลงที่พื้นอย่างเคย ตั้งแต่มารดาเสียไป ตัวนางก็ไม่มีสาวใช้ส่วนตัวค่อยปรนนิบัติด้วยบิดาบอกว่าไม่จำเป็นตามคำยุยงของแม่เลี้ยง บ่าวไพร่ในเรือนจึงไม่มีความยำเกรงให้นาง ปลายปากกาของนักเขียนช่างน่ากลัวเหลือเกิน แต่ไม่เป็นไรชาตินี้นางรู้ตื่นและรู้แจ้งหมดแล้ว ไม่มีใครมาขีดเขียนชีวิตนางได้อีกแล้ว
สวี่ซูหยางก้มมองบุตรสาวที่ไม่เคยได้ดั่งใจด้วยสายตาดูแคลน ตรงหน้านางคือแท่นกราบไหว้เทพพระเจ้า ข้างกายคือบุรุษที่นางเคยร่วมเตียง ไม่มีญาติฝ่ายเจ้าบ่าว เช่นนี้เป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าสาวอย่างมาก บิดารู้ดีแต่ก็ไม่คิดเชิญด้วยไม่อยากร่วมเป็นแผ่นทองกับสามัญชนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ทั้งบุตรสาวยังทำงามหน้าให้เป็นที่อับอาย
