บทที่ 4 หากผิดคำสัญญาขอให้ควักหัวใจออกมา
บทที่ 4
หากผิดคำสัญญาขอให้ควักหัวใจออกมา
“ข้าอายที่มีท่านเป็นมารดามาโดยตลอด เวลามีใครรู้ว่ามารดาของข้าเป็นแค่บุตรสาวของพ่อค้าตกต่ำ ข้าอับอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี คงจะดีกว่านี้หากข้าเป็นบุตรที่เกิดจากองค์หญิงใหญ่หาใช่สตรีที่ไม่มีอะไรเลยเช่นท่าน”
‘โจวลี่ถิง’ บุตรสาวอายุเจ็ดปีใบหน้างดงามคล้ายฮูหยินผู้เฒ่าโจวเมื่อครั้งยังสาวเอ่ยออกมาราวกับว่านี่คือความในใจที่อัดอั้นมาช้านาน
บุตรชายและบุตรสาวไม่มีใครมีหน้าตาละม้ายคล้ายเฟิ่งเยว่สือเลยสักคน คนหนึ่งเหมือนบิดา คนหนึ่งเหมือนย่า อีกทั้งนิสัยของบุตรทั้งสองยังถอดคนสกุลโจวมาไม่ผิดเพี้ยน
หยาดน้ำตาหรือจะเรียกว่าหยาดโลหิตดีเล่า ไหลออกจากดวงตาที่เบิกโพลงด้วยความเสียใจจนแทบสิ้นสติ ความเจ็บปวดนี้ยากนักที่ใครจะเข้าใจ เมื่อสามีที่นางรักมั่นมาตลอดชีวิต และบุตรธิดาที่นางอุ้มท้องฟูมฟักเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ มองนางเป็นเพียงเสี้ยนหนามตำฝ่าเท้าที่ต้องกำจัดทิ้งอย่างไร้ค่า
ดวงตาโศกมองสามีนิ่งนาน หันไปมองบุตรชายคนโต จากนั้นจึงหยุดสายตาอยู่ที่บุตรสาวคนเล็ก ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงราวกับปลดปลง
“ข้ายอมแล้ว ข้าจะไปจากทุกคนเอง”
ร่างกายที่พยายามดิ้นรนขัดขืนมาตั้งแต่ต้น ทิ้งตัวลงนอนไปกับเตียงนอนราวกับสิ้นไร้เรี่ยวแรง ทุกจังหวะที่สะอื้นไห้โลหิตก็ทะลักพรั่งพรูออกมาอย่างน่าสังเวชใจ
คุณชายใหญ่โจวและคุณหนูเล็กโจวเบือนหน้าหนี เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นมารดา ต่อให้ต่ำต้อยด้อยศักดิ์เพียงใดก็ยังนับเป็นผู้ให้กำเนิด
ที่ผ่านมาเฟิ่งเยว่สือหาใช่มารดาที่ไม่ดี แต่เป็นมารดาที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยอีกทั้งยังไม่รู้จักเจียมตน กล้าสอนสั่งพวกตนที่เป็นถึงบุตรราชครู ข้อดีของนางคงมีเพียงทำอาหารอร่อย เย็บปักเสื้อผ้างดงามประณีต นอกนั้นก็แทบไม่หลงเหลือความทรงจำดีๆ เลย
มือบอบบางซีดเผือดข้างหนึ่งเอื้อมคว้าไปบนอากาศ ก่อนจะเค้นน้ำเสียงเปล่งประโยคสุดท้ายออกไป
“อะ...อามู่ ข้ามีคำสั่งเสียสุดท้ายอยากบอกแก่ท่าน”
ราชครูโจวมู่เฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่คล้ายเหนื่อยหน่ายเต็มทน แต่การทำให้ดวงวิญญาณของภรรยาจากไปโดยไร้พันธะผูกมัดย่อมดีที่สุด มิเช่นนั้นหากนางกลายเป็นวิญญาณแค้นจวนราชครูอาจอยู่ไม่เป็นสุข
คิดได้ดังนั้นเขาจึงก้าวเท้าเข้าไปหา แต่นางกลับขยับปากเพียงพะงาบๆ ราวกับเสียงที่มีได้ถูกโลหิตอุดหลอดลมไปเสียสิ้นแล้ว
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจโน้มใบหน้าลงไปเพื่อฟังคำสั่งเสียของนางเป็นครั้งสุดท้าย โดยไม่วายใช้มือข้างหนึ่งปิดจมูกเพราะเหม็นกลิ่นคาวเลือดเต็มทน
ชั่วเสี้ยวลมหายใจนั้นเอง เกินกว่าที่ใครในห้องจะไหวตัวทัน มือขวาที่ซุกไปยังใต้หมอนก็พุ่งเข้าหาอกซ้ายของราชครูโจวอย่างรวดเร็ว
ฉึก!
เวลานี้มีดสั้นที่ซ่อนไว้ใต้หมอนได้ปักลงยังหัวใจสีดำของสามีเสียแล้ว ราชครูโจวเหลือกตาแทบถลนด้วยความตกใจและเจ็บปวด ผงะถอยหลังเกือบจะล้มลงทว่าบุตรชายและบุตรสาวรีบปราดเข้ามาประคองบิดาอย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อ!”
โจวห่าวอี้กอดบิดาเอาไว้แน่น ในขณะที่โจวลี่ถิงปล่อยโฮออกมาอย่างทำอะไรไม่ถูก ยิ่งเห็นบิดาอ้าปากกว้าง ดวงตาเบิกโพลงทุรนทุราย นางก็ยิ่งหวีดร้องอย่างเสียขวัญ
“กรี๊ด! ท่านพ่อ ไม่นะ! ไม่นะ!”
“ใครอยู่ข้างนอก ไปตามหมอมาเร็วเข้า เร็วเข้า!”
บุตรชายคนโตดูจะมีสติมากที่สุด แต่เพราะบิดาสั่งบ่าวชายและสาวใช้ให้ออกไปจากเรือนหลังเล็กอย่าได้ให้ใครย่างกรายเข้ามาเป็นอันขาด หมายจะสังหารภรรยาแสนชังโดยไร้สายตาสอดรู้ของบ่าวไพร่ ดังนั้นจึงไม่มีใครได้ยินเสียงเรียกของคุณชายโจวเลยสักคน
ฮา ฮ่า ฮ่า
ฮูหยินโจวหัวเราะลั่นเมื่อเห็นสีหน้าทุกข์ทรมานของสามี อีกทั้งยังเห็นสีหน้าสิ้นหวังของบุตรชายบุตรสาวทั้งสอง ก่อนจะชี้นิ้วที่อาบไปด้วยเลือดของสามีไปยังบุคคลทั้งสามที่นางรักจนหมดหัวใจ
“คิดหรือว่าข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าเสวยสุขอยู่บนความทุกข์ของข้า สามีสารเลว! บุตรชายชั่วช้า! บุตรสาวแพศยา! พวกเจ้าทุกคนจงทุกข์ทรมาน!”
“จะ...เจ้า!”
ราชครูโจวมองภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากราวกับไม่อยากจะเชื่อสายตา ภรรยาที่อ่อนหวาน อ่อนแอ อ่อนโยน หัวอ่อนดั่งคนขลาดเขิน เหตุใดจึงกล้าลงมือปักคมมีดลงบนหัวใจเขาเช่นนี้
“อามู่! สัญญาที่เจ้าให้ข้าไว้ใต้ต้นหยินซิ่ง เจ้าจำได้หรือไม่!”
ราชครูโจวมู่เฉินหายใจรวยริน ใบหน้าซีดเผือดเหลือกลานด้วยกลัวความตาย กระนั้นหัวสมองกลับหวนคิดไปถึงช่วงเวลาในวัยหนุ่มสาว ใต้ต้นหยินซิ่งอายุสองร้อยปีที่ผลัดใบกลายเป็นสีเหลืองทองสะพรั่งอร่ามเรืองรองอยู่กลางทุ่งหญ้าโล่งกว้าง ชายหนุ่มหญิงสาวคุกเข่าสาบานรักต่อกัน
‘ข้าโจวมู่เฉินสัญญาว่าจะรักเฟิ่งเยว่สือเพียงผู้เดียว หากวันใดข้าผิดสัญญา ขอให้เจ้าควักหัวใจของข้าออกมาได้เลย’
ชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีเอ่ยคำสาบานออกมาด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน ในดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรักลึกซึ้งที่มีให้แก่คนรักสาว
‘อามู่เจ้าอย่าพูดเช่นนั้น ข้าเชื่อในความรักของเจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่มีวันทำให้ข้าเสียใจ’
หญิงสาวที่กำลังจะก้าวย่างเข้าพิธีปักปิ่นในอีกสองวันรีบยื่นมือไปปิดปากชายคนรัก สัมผัสใกล้ชิดทำให้นางใบหน้าแดงก่ำ จังหวะที่กำลังจะชักมือกลับโจวมู่เฉินกลับรวบมือบอบบางของคนรักสาวมากุมไว้ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงจุมพิตที่หลังมือของนางอย่างแผ่วเบา
‘ความรักของข้าที่มีต่อเจ้าจะมั่นคงดั่งต้นหยินซิ่งอายุหลายร้อยปีนี้ ข้าจะรักเจ้าตราบจนกว่าลมหายใจสุดท้ายจะสูญสิ้น ข้าสัญญา’
‘เยว่เอ๋อร์ก็รักอามู่มากเช่นกัน จากกันคราวนี้อามู่อย่าได้กังวล เพราะหัวใจของเยว่เอ๋อร์จะมีเพียงอามู่คนเดียวเท่านั้น’
เฟิ่งเยว่สือแนบแก้มลงบนฝ่ามือของชายคนรัก เพราะเมื่อผ่านพ้นฤดูใบไม้ร่วงโจวมู่เฉินจะเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อเตรียมตัวสอบบัณฑิต ผู้ใหญ่สองตระกูลจึงตกลงกันว่าจะจัดพิธีหมั้นหมายให้ทั้งคู่หลังจากที่ฝ่ายหญิงเข้าพิธีปักปิ่นเรียบร้อยแล้ว
ภาพความรักในครั้งนั้นกระจ่างชัดอยู่ในห้วงแห่งความเป็นความตายของสองสามีภรรยา ก่อนที่ราชครูโจวจะสิ้นใจตายทั้งที่ดวงตายังคงเบิกค้าง
“ท่านพ่อขอรับ!”
“กรี๊ด! ท่านพ่อ!”
เสียงกรีดร้องอย่างเสียขวัญของบุตรสาวดังก้องไปทั่ว เสียงโวยวายของบุตรชายให้รีบตามหมอมาดูอาการของบิดายังดังก้องอยู่ในโสตประสาท
ฮูหยินเยว่สือค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ เรียวปากแสยะยิ้มก่อนสิ้นลมหายใจไปอย่างเดียวดายไร้เสียงร่ำไห้อาวรณ์ของบุตรธิดา
