บทที่ 3 จงเสียสละเพื่อครอบครัว
บทที่ 3
จงเสียสละเพื่อครอบครัว
โลหิตสีชาดไหลทะลักออกจากทวารทั้งห้านำมาซึ่งความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ฮูหยินโจวในวัยยี่สิบแปดหนาวเหลือกดวงตาแดงฉานมองสามีด้วยความเจ็บปวดราวกับก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายกำลังแตกสลาย
เวลานี้หยาดน้ำตาถูกย้อมเป็นสีแดงสดไหลรินหยดแล้วหยดเล่าอาบชโลมนวลแก้มซูบตอบอิดโรยที่พอจะมองออกว่าครั้งหนึ่งฮูหยินโจวผู้นี้เคยงดงามกว่าใครๆ
“เหตุใด...ท่านจึงวางยาพิษข้า”
หญิงสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าตีบตันไปทั้งลำคอ น้ำชาจอกนี้เป็นสามีมอบมันให้แก่นางอย่างเลือดเย็น
‘โจวมู่เฉิน’ และ ‘เฟิ่งเยว่สือ’ เป็นสหายวัยเยาว์ที่ต่างมีใจรักผูกพันแน่นแฟ้น สองตระกูลจึงเอ่ยปากให้ทั้งสองเป็นคู่หมายที่เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก
เมื่อฝ่ายหญิงก้าวเข้าสู่วัยปักปิ่นจึงได้จัดพิธีหมั้นอย่างอบอุ่น โจวมู่เฉินเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง สอบบัณฑิตในระดับราชสำนักได้ขั้นที่สอง ‘ปั่งเหยียน’ ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเองผู้ที่ได้ขั้นที่หนึ่ง ‘จ้วงหยวน’ คือองค์ชายเก้าผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนโฉดแห่งราชวงศ์
จึงยิ่งทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่กล่าวขานไปทั่ว ห้าปีให้หลังโจวมู่เฉินได้เข้าร่วมกับองค์ชายรองโค่นล้มราชบัลลังก์ของฮ่องเต้องค์ก่อน จึงทำให้เขาก้าวขึ้นเป็นราชครูผู้สูงศักดิ์ถวายการรับใช้ฮ่องเต้อย่างจงรักภักดี
ทั้งคู่แต่งงานสร้างครอบครัวอบอุ่นด้วยกัน มีบุตรธิดาทั้งหมดสองคน ชีวิตคู่ราบเรียบจนกระทั่งตำแหน่งหน้าที่การงานของสามีก้าวสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป...
สูง...จนผู้คนมากมายใต้หล้าต่างก็ต้องก้มศีรษะให้
นั่นแหละเฟิ่งเยว่สือจึงถูกปลดจากฮูหยินที่มีเพียงหนึ่ง ให้กลายเป็นฮูหยินรอง เพื่อที่สามีจะได้แต่งภรรยาเอกผู้เป็นถึงเชื้อพระวงศ์เข้าจวน หาใช่สตรีบุตรพ่อค้าไร้เส้นสายอย่างนาง
“เพราะองค์หญิงใหญ่หรือ...”
ยามเมื่อเค้นเสียงถามออกไปเลือดสีแดงสดก็ไหลทะลักออกมาจากริมฝีปาก เปรอะเปื้อนทรวงอกจนเปียกชุ่ม สายตาของนางมองข้ามไหล่สามี เห็นบุตรชายและบุตรสาวยืนมองมารดาที่กำลังจะสิ้นใจตายด้วยใบหน้าเฉยเมย
เห็นเช่นนั้นหยาดน้ำตายิ่งหลั่งริน เจ็บจนไม่อาจบรรยายความรู้สึกออกมา มันช่างเป็นความเจ็บปวดที่กัดกินหัวใจจนแหว่งวิ่นแหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดี
“อาเยว่...เจ้ายอมเสียสละตัวเองเพื่อข้าและลูกๆ เถอะนะ เด็กทั้งสองจะมีอนาคตที่ดีหากได้รับการสนับสนุนจากองค์หญิงใหญ่”
ราชครูโจวมู่เฉินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาที่มองภรรยานั้นปราศจากความรัก ราวกับว่าความรักที่เขาเคยมอบให้แก่ภรรยานั้นได้เหือดหายไปตามกาลเวลา ดั่งน้ำในกะลากลางแจ้งที่ถูกไอแดดแผดเผาจนสูญสิ้น
“ข้ายอมทุกอย่างแล้ว ข้าถอยจนสุดทางแล้ว มีเพียงหนทางเดียวคือข้าต้องตายงั้นหรือ องค์หญิงใหญ่จึงจะยอมแต่งเข้าจวนราชครู”
เฟิ่งเยว่สือถามออกไปแม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้วก็ตามที เมื่อสามีเพียงพยักหน้ารับ นางก็ถึงกับแค่นหัวเราะจนกระอักเลือดออกมาอีกครา ราวกับว่าเสียงหัวเราะนี้นางกำลังหัวเราะเยาะเย้ยโชคชะตาของตนเอง
เฟิ่งเยว่สือยอมมาตลอด ก้มหน้ายอมถูกข่มเหงรังแก ไม่แม้แต่จะปริปากโต้เถียง นางยอมที่จะถูกลดลงไปเป็นฮูหยินรองด้วยความชอกช้ำใจ
องค์หญิงใหญ่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เหนือกว่าเฟิ่งเยว่สือ ไม่ว่าจะเป็นวัยที่อ่อนเยาว์กว่า ฐานันดรที่สูงศักดิ์กว่า เส้นสายตระกูลหนุนหลังที่ยิ่งใหญ่จนเยว่สือไม่อาจเทียบ แต่องค์หญิงใหญ่กลับไม่เคยคิดจะหยุดระรานเยว่สือแม้เพียงเสี้ยวลมหายใจ
นั่นเพราะลึกๆ ในใจแล้วองค์หญิงใหญ่ชิงชังความงดงามของเฟิ่งเยว่สือ ที่แม้จะล้มป่วยหลังคลอดบุตรคนที่สอง แต่ก็ยังงดงามจนถูกกล่าวขานไปทั่ว
เมื่อองค์หญิงใหญ่ยังไม่พอพระทัย สามีจึงลดนางผู้เป็นภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากให้เป็นเพียงอนุภรรยาต่ำต้อยในจวน จนถูกเหล่าสาวใช้หัวเราะเย้ยหยันดูหมิ่น เป็นความอัปยศที่เฟิ่งเยว่สือก้มหน้ายอมรับทั้งน้ำตา
แม้ใจจะไม่อยากยอมรับ แต่เพราะรักสามีและบุตรยิ่งกว่ารักชีวิตของตนเอง นางจึงก้มหน้ารับชะตาชีวิตแสนเศร้าอย่างอดทน
แต่ดูเหมือนว่าการที่นางยังมีชีวิตอยู่...มีตัวตนอยู่ในจวนหลังนี้ จะกลายเป็นหอกแหลมทิ่มแทงใจองค์หญิงใหญ่ จนต้องให้สามีและบุตรทั้งสองเป็นผู้กำจัดนางทิ้งอย่างไม่ไยดี
จะลอบสังหารให้ตายไปเลยคงไม่สาแก่ใจ จึงได้ให้สามียื่นชาผสมยาพิษด้วยตนเองเช่นนี้ ช่างเลือดเย็นเหลือเกิน เลือดเย็นเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นมนุษย์ผู้มีใจสูง
“ท่านแม่ลูกอกตัญญูนัก แต่องค์หญิงใหญ่สำคัญกับอนาคตของลูกยิ่ง ให้พวกเราเป็นบุตรบุญธรรมขององค์หญิงย่อมดีกว่าเป็นบุตรของลูกสาวพ่อค้าธรรมดาอย่างท่าน”
‘โจวห่าวอี้’ บุตรชายคนโตอายุเก้าปี พูดจาฉะฉาน ใบหน้างดงามถอดแบบบิดามาอย่างไม่ผิดเพี้ยน เอ่ยถึงองค์หญิงใหญ่พระธิดาผู้เกิดจากเกากุ้ยเฟย สตรีที่ปักใจหลงรักสามีของนางและพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเข้ามาแทนที่
แย่งสามี แย่งบุตรชาย แย่งบุตรสาว แย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากนางอย่างเลือดเย็น
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาองค์หญิงใหญ่แวะเวียนไปมาหาสู่จวนราชครูไม่ว่างเว้น มักซื้อข้าวของราคาแพงมามอบให้บุตรชายและบุตรสาวของนางอยู่เสมอๆ เรียกได้ว่าบุตรธิดาของนางมององค์หญิงใหญ่ราวกับเทพเซียนลอยลงมาจากสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน
ในสายตาของเด็กๆ รักและเทิดทูนว่าที่มารดาใหม่ และส่งสายตาเกลียดชังมายังมารดาผู้ให้กำเนิดอย่างไม่ปิดบัง
เดิมทีบุตรทั้งสองก็ใช่จะให้เกียรตินางผู้เป็นมารดา เพราะถูกอบรมจากฮูหยินผู้เฒ่าโจวที่เกลียดชังลูกสะใภ้ผู้ไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ เด็กทั้งสองถูกตามใจจนกลายเป็นเด็กก้าวร้าว เมื่อนางพยายามห้ามปรามสอนสั่งกลับถูกบุตรธิดาแสดงท่าทีหงุดหงิดไม่พอใจ
ร้ายกว่านั้นบุตรสาวคนเล็กยังเคยผลักนางล้มลงจนศีรษะแตก แต่กลับไม่เอ่ยขอโทษมารดาผู้ให้กำเนิดสักคำ ครั้นนางจะตีบุตรเพื่ออบรมสั่งสอน ฮูหยินผู้เฒ่าโจวก็มักเข้ามาขวางเอาไว้เสียทุกครั้ง เยว่สือจึงได้แต่จนปัญญาเฝ้ามองบุตรธิดาห่างออกจากอกนางไปอย่างไม่อาจหวนคืน
