บทที่ 2 แค่พี่ชายที่หวงน้องสาว
บทที่ 2
แค่พี่ชายที่หวงน้องสาว
องค์ชายเก้าถานซีหยางส่ายศีรษะน้อยๆ อย่างพยายามขับไล่ความรู้สึกประหลาดออกไป เหตุใดเขาต้องรู้สึกไม่พอใจด้วยเล่า เหตุใดก้อนเนื้อที่อกซ้ายจึงเจ็บแปลบ อึดอัด...ราวกับหายใจไม่ออก
‘หรือนี่เป็นอาการของพี่ชายที่หวงน้องสาว’
องค์ชายเก้าหาเหตุผลให้กับความรู้สึกที่แปลกประหลาดนี้ ไม่ผิดแน่เหล่าพี่ชายก็ย่อมต้องหวงและห่วงน้องสาวเป็นธรรมดา คิดดังนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ปัดไล่ความฟุ้งซ่านออกไปจนหมดสิ้น
‘หึ! คอยดูเถอะข้าจะเอาเรื่องนี้ไปล้อเลียนเจ้า เจ้าลิงน้อยเยว่เอ๋อร์!’
ชายหนุ่มคิดพลางหัวเราะขบขันในลำคอ ก่อนจะเบือนสายตาไปมองชายหนุ่มข้างกายเฟิ่งเยว่สืออย่างพินิจพิจารณา
‘นี่นะหรือชายคนรักของเจ้าลิงน้อย นางมักพูดถึง ‘อามู่’ ผู้แสนดีของนางให้ข้าฟังเสมอๆ พอได้เห็นตัวจริงแล้วก็นับว่าหน่วยก้านดีไม่น้อย แม้ว่าความหล่อเหลาจะมิอาจเทียบเคียงข้าแม้เศษเสี้ยวก็ตาม หวังว่าในอนาคตเจ้าจะไม่ทำให้เจ้าลิงน้อยของข้าเสียใจ’
คิดพลางเหม่อมองท้องฟ้าอย่างไม่ใส่ใจ หรือเพราะไม่อยากเห็นคนทั้งคู่พลอดรักกันไปมากกว่านี้ก็เป็นได้
ทันทีที่ฤดูใบไม้ร่วงผ่านพ้น ถานซีหยางก็ต้องกลับเข้าวังหลวงในฐานะองค์ชายเก้า มิอาจซ่อนเร้นปิดบังตัวตนอยู่ในหอนางโลมได้อีกต่อไป
เพราะเวลานี้ร่างกายของเขาสูงเร็วขึ้นกว่าเดิมมากแม้จะดื่มยากดการเจริญเติบโตของร่างกายให้ช้าลงก็ตามที ลูกกระเดือกเริ่มเห็นชัด เสียงที่เคยกระจ่างใสก็เริ่มแหบพร่าทุ้มต่ำ เริ่มมีหนวดเคราขึ้นที่ปลายคาง ฉายชัดว่าเวลานี้ ‘องค์ชายเก้าถานซีหยาง’ ก้าวเข้าสู่วัยหนุ่มเต็มตัวแล้ว
การปลอมแปลงเป็นสตรีในหอคณิกานาม ‘ซ่งซีซวน’ เพื่อหลบเร้นเงื้อมือสังหารของฮองเฮาจึงจำต้องจบสิ้นลงเสียที
ทันทีที่เขาหยุดโอสถกดการเจริญเติบโต ร่างกายและมวลกระดูกคงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นแน่
“ขะ...ข้าย้อนเวลากลับมาหรือ”
เสียงสั่นเครือที่เต็มไปด้วยความสับสนของเฟิ่งเยว่สือดึงความสนใจขององค์ชายเก้าไม่น้อย เขาจ้องมองใบหน้าตื่นตระหนกของเจ้าลิงน้อยด้วยความงุนงง
แปลก!
เหตุไฉนนางจึงแสดงแววตาเกลียดชังชายคนรักราวกับอีกฝ่ายเป็นหนอนแมลงน่ารังเกียจ!
ไม่ผิดแน่ดวงตานั่นเป็นดวงตาของคนที่อยากให้อีกฝ่ายตายหรือหายไปจากชีวิต เพราะเขาคุ้นชินกับดวงตาเช่นนี้ของฮองเฮาและเหล่าพระสนมของพระบิดามาตั้งแต่ยังเยาว์วัย
จังหวะนั้นเองชายหนุ่มคนรักของเยว่สือที่ก่อนหน้านี้มีดวงตาหวานซึ้งราวกับจะกลืนกินหญิงสาวกลับแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยวราวกับอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายตกไม่ต่างกัน
ทั้งคู่มองกันอย่างเกลียดชัง!
จากนั้นทั้งคู่ต่างก็บริภาษด่าทอใส่กัน ต่างใส่ความว่าอีกฝ่ายสังหารตน ก่อนที่เฟิ่งเยว่สือจะเตะกล่องดวงใจของบุรุษแล้วเดินจากไปอย่างไม่ไยดี
‘นี่ข้า...ต้องรู้สึกเช่นไรกับเหตุการณ์นี้เล่า’
องค์ชายถานซีหยางมีสีหน้าปั้นยาก ด้วยไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าเหตุใดเพียงไม่กี่ลมหายใจคนที่รักกันมากจึงเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้
ทั้งคู่พูดในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกค้างคาใจเป็นที่สุด คือทั้งคู่พูดราวกับว่าได้หวนคืนกลับมาเสียกระนั้น
‘หวนคืนงั้นหรือ ข้าเคยได้ยินเรื่องราวการหวนคืน คิดมาตลอดว่ามันเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก มันมีจริงงั้นหรือ’
องค์ชายเก้าขมวดคิ้วมุ่นอย่างครุ่นคิด ก่อนจะก้มมองโจวมู่เฉินที่ยังคงนอนกุมเป้ากางเกงด้วยความเจ็บปวดทรมาน ถานซีหยางนิ่วหน้าเหยเกก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก หมายมั่นว่าจะไม่ทำให้เจ้าลิงน้อยโกรธเป็นอันขาด ดูท่าแล้วลูกเตะของนางมีอานุภาพร้ายแรงไม่น้อยเลย
“นังแพศยา! ความผิดพลาดเดียวในชีวิตของข้าก็คือการแต่งงานกับสตรีที่ไม่มีอะไรเลยเช่นเจ้า!”
โจวมู่เฉินคำรามออกมาด้วยความโกรธ ใบหน้าแดงก่ำจนเรียกได้ว่าอมม่วง ศีรษะอาบไปด้วยโลหิตสีชาด
“สตรีไร้ค่าที่ไม่มีเส้นสายเช่นเจ้า แต่งเข้าจวนก็รังแต่จะเป็นภาระของตระกูลโจว นังสารเลว!”
ปั๊ก!
จู่ๆ กิ่งไม้ขนาดใหญ่ร่วงใส่ศีรษะโจวมู่เฉินอย่างแรง เป็นเหตุให้คุณชายโจวถึงกับสลบเหมือดไปในทันที จังหวะนั้น องค์ชายก็เก้ากระโดดลงจากต้นไม้ด้วยใบหน้าหงุดหงิด
“บังอาจนัก เจ้าลิงน้อยของข้าหาใช่สตรีไร้ค่า เป็นเจ้าที่โง่งมไม่รู้จักนิสัยใจคอของนางเองต่างหาก หากเจ้าหวนคืนมาจริง ได้แต่งงานใช้ชีวิตกับนางเฉกเช่นสามีภรรยาจริง เจ้าย่อมต้องรู้จักนิสัยของนาง ว่านางเป็นสตรีที่กล้าหาญ เด็ดขาด และมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่เปี่ยมไปด้วยเมตตา แต่เจ้ากลับเป็นสามีที่โง่เขลา เจ้าได้เพชรเม็ดงามไปครองแต่กลับมองเห็นเป็นเพียงก้อนกรวด!”
องค์ชายเก้าในชุดสตรีสีเหลืองนวลมองบุรุษที่สลบไปด้วยสายตาสมเพช ก่อนจะใช้เท้าเตะเข้าที่ซี่โครงไปอีกครั้งเต็มแรง
กร็อบ!
“อา...ดูเหมือนข้าจะเตะแรงไปหน่อยจนซี่โครงเจ้าหักเสียแล้ว”
น้ำเสียงคล้ายรู้สึกผิดแต่เรียวปากกลับคลี่ยิ้มสะใจ
องค์ชายเก้าถานซีหยางครุ่นคิด ‘องค์หญิงใหญ่’ ‘ราชครู’ สองคำนี้หลุดออกจากปากของคู่รักที่เพิ่งสะบั้นความสัมพันธ์
เวลานี้ราชวงค์หาได้มีองค์หญิงใหญ่แต่มีองค์ชายใหญ่ซึ่งเป็นพระโอรสที่ประสูติจากฮองเฮา จากนั้นจึงมีองค์ชายรองผู้ประสูติจากหรูเสียนเฟย องค์หญิงสาม องค์หญิงสี่ องค์หญิงห้า องค์หญิงหก องค์หญิงเจ็ด องค์หญิงแปด และเขาองค์ชายเก้าที่ประสูติจากอู๋กุ้ยเฟย และเมื่อนับต่อจากเขาไปอีกก็ล้วนเป็นองค์หญิงทั้งสิ้น ข่าวว่าสนมขั้นผินเพิ่งคลอดองค์หญิงสิบห้าไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง
นับได้ว่าฮ่องเต้พระองค์นี้ทรงมีพระโอรสเพียงสามพระองค์เท่านั้น
อีกทั้งเวลานี้ตำแหน่งของราชครูหาได้ว่างเว้น
องค์ชายเก้าเดาได้ในทันทีว่าอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้คงมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบัลลังก์มังกร หากฮ่องเต้ไม่สวรรคตก็อาจมีการกบฏเกิดขึ้น
ทว่าฮ่องเต้ยังทรงแข็งแรง มีพระชันษาเพียงสามสิบหกปีเท่านั้น ข้อสงสัยนี้อาจตัดทิ้งไปได้เลย
แล้วใครเล่าจะเป็นผู้ก่อกบฏ
องค์ชายใหญ่ซึ่งนั่งตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทคงมิใช่เป็นแน่แท้ ดังนั้นอาจเป็นองค์ชายรองผู้เงียบขรึม ดูเผินๆ แล้วไม่มีพิษภัยเพราะเป็นคนเคร่งตำราคงแก่เรียน ทำให้ฮองเฮาไม่ได้มององค์ชายรองเป็นเสี้ยนหนาม จึงเพ่งความเกลียดชังมาที่องค์ชายเก้าผู้มีชะตาเกิดสูงกว่าองค์ชายทั้งสามพระองค์ ด้วยมีดาวมหามงคลคุ้มครองชะตาเกิด เชื่อว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะกระทำการใดๆ ก็จะมีผู้ครองอำนาจคอยสนับสนุนค้ำจุน
ด้วยดวงชะตานี้ขององค์ชายเก้า ฮองเฮามองว่าเขาเป็นภัยต่อตำแหน่งรัชทายาทของบุตรชาย จึงพยายามหาทางกำจัดออกไปให้พ้นทาง
จริงสิ! องค์ชายรองมีบุตรสาวคนโตที่เวลานี้คงมีอายุราวๆ เจ็ดแปดปี หากองค์ชายรองขึ้นนั่งบนบัลลังก์มังกร บุตรสาวย่อมต้องกลายเป็นองค์หญิงใหญ่
แล้วองค์หญิงใหญ่กับราชครูที่มีอายุห่างกันราวๆ สิบปี ก็ไม่นับว่าเป็นคู่ครองที่ไม่เหมาะสมอันใด หากจะมีสิ่งใดที่ไม่เหมาะสมก็คงเป็นเพราะราชครูมีฮูหยินอยู่ก่อนแล้ว
องค์ชายเก้าผูกเรื่องราวเข้าไว้ด้วยกันอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานเสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้นเมื่อบ่าวรับใช้ของสกุลโจวเห็นสภาพคุณชายของตนนอนจมกองเลือด ดังนั้นองค์ชายเก้าจึงใช้วิชาตัวเบาหายไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
