บทที่ 6 จะให้นางสร้างทายาทกับผ้าห่มหรืออย่างไร
ยามโหย่ว (17.00 – 18.59 น.) ล่วงเลยไป ค่ายทหารแสงจากตะเกียงน้ำมันที่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นทีละดวง ท่ามกลางสายลมหนาวเยียบที่พัดผ่านต่างจากช่วงกลางวันสุดโต่ง
ภายในกระโจมแม่ทัพ เสียงสนทนาอันหนักแน่นที่เคยกึกก้องเมื่อครู่ค่อย ๆ ซาลง บรรดารองแม่ทัพและนายกองต่างทยอยล่าถอยออกจากกระโจมบัญชาการ ทิ้งไว้เพียงร่างสูงในชุดสีเข้มได้นั่งลงพักผ่อนเสียที
เซียวเหยียนหลงทอดกายพิงพนัก หยิบถ้วยชาขึ้นจิบ ดวงตาคมคิ้มเข้มทอดมองแผนที่เมืองเบื้องหน้าโดยไร้อารมณ์ มุมปากเฉยเมยอย่างผู้ไม่เคยหวั่นไหวต่อผู้ใดในใต้หล้า
กระทั่งเสียงทหารยามหน้ากระโจมดังขึ้น
“นายทหารหวังมาขอเข้าพบขอรับ!”
คิ้วเข้มของเขาขมวดเล็กน้อยเพียงชั่ววูบ ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำตอบรับ
“ให้เข้ามา”
หวังจื่อเฉินก้าวเข้ากระโจมมาด้วยท่วงท่าระมัดระวัง ค้อมกายให้ตามธรรมเนียม ไม่พูดอ้อมค้อมให้เสียเวลาเพราะตามจริงเขารออยู่นานตั้งแต่เลิกฝึกประจำวัน กว่าจะหักใจมาที่นี่ได้ใช้ความกล้าไปมาก
“ข้าน้อยมีเรื่องจำเป็นต้องเรียนท่านแม่ทัพขอรับ” เขากล่าวเสียงเข้ม “เมื่อช่วงกลางวันฮูหยินของท่านแม่ทัพ…นางถูกนายทะ-”
เซียวเหยียนหลงวางถ้วยชาแนบขอบโต๊ะเสียงดังก้อง สายตาเหลือบมองเพียงชั่วขณะ ไม่มีถ้อยคำตอบรับใดจากปากเขา มีเพียงแววตาที่เหมือนบอกให้หยุดพูดเท่านั้น
ความเงียบในกระโจมชวนให้ขนลุกอย่างน่าประหลาดใจ บัดนี้หวังจื่อเฉินไม่มีเสียงจะเอ่ยคำใดต่อแล้ว
“แจ้งทหารเวรยามหน้าทางเข้าค่าย หากนางมาอีก…ไม่ต้องอนุญาตให้เข้า”
เขาเอ่ยเพียงถ้อยเดียว สั้นกระชับแต่สื่อความหมายชัดเจน
หวังจื่อเฉินขบกรามแน่นเล็กน้อย นัยน์ตาเศร้าแต่สู้ชีวิตของสตรีเมื่อช่วงกลางวันชวนให้เขามีความกล้าเพิ่มมากอีกนิด “แต่ว่า...”
เหยียนหลงหันหน้ามองช้า ๆ สายตาของเขาแข็งกร้าวที่ทำให้คนทั่วไปไม่กล้าไม่ทำตามคำสั่ง
หวังจื่อเฉินก้มหน้ารับคำ สีหน้าซ่อนความผิดหวังเอาไว้ไม่มิดแล้วก็จำต้องเดินจากไป
หากในเขาผู้เป็นสามีที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ตัดสินใจทำเช่นนี้ ผู้ต่ำศักดิ์เช่นเขา…จะช่วยสิ่งใดได้อีก?
แสงอาทิตย์ยามเช้าทอดตัวผ่านม่านไม้ไผ่ในเรือน ลมยามเช้าพัดโชยบางเบาแต่ก็ไม่อาจกลบกลิ่นชื้นของหมอกในเช้าของวันได้
หลังจากคุกเข่าหน้าศาลบรรพชนจวนเซียวจนครบคืน ลู่ชิงหรูเพิ่งได้กลับมาสัมผัสเบาะนุ่มในเรือนนอนของตน ร่างกายที่อ่อนล้าอย่างถึงที่สุดไม่อาจต้านทานรงดึงดูดแห่งความเหนื่อยล้าได้อีก นางเพียงเอนตัวลงพักชั่วครู่ก็เข้าสู่นิทราได้แล้ว
พักไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม…ก็ต้องลุกขึ้นอีกครั้งเพราะร่างกายที่เคยชินกับการตื่นเช้าพาให้นางลืมตาตื่น
“ฮูหยินเจ้าคะ อย่างไรวันนี้พักตื่นสายอีกสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ...เดี๋ยวบ่าวจะไปรายงานฮูหยินใหญ่ให้ว่าท่านเพิ่ง...”
เสียงของเสี่ยวเฉินฟังดูเป็นห่วงจากใจจริง แต่ลู่ชิงหรูเพียงส่ายหน้าช้า ๆ แล้วพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง มือหนึ่งยันขอบโต๊ะเพื่อทรงตัว
ใบหน้านางซีดขาวราวกระดาษ ดวงตาหม่นคล้ำจากการอดนอน ทว่า...เส้นผมกลับยังถูกรวบอย่างเรียบร้อย เสื้อคลุมบางสีอ่อนปักลายเมฆยังถูกสวมอย่างสมบูรณ์โดยเจ้าตัวเอง
“หากข้าไม่ไป...พวกเขายิ่งจะหาเรื่องว่าเอาน่ะสิ ตำแหน่งฮูหยินที่ทำให้เราอยู่ดีกินดีทุกวันนี้ไม่ใช่ได้มาโดยไม่ตอบแทนนะ เข้าใจไหมเสี่ยวเฉิน...”
เสียงนางเบาราวสายลม แต่มั่นคงดุจหินผา สมัยก่อนนางเข้ามาอยู่ในนิยายก็ใช่ว่าไม่เคยป่วยแต่ต้องฝืนร่างกายไปทำงานเสียหน่อย ชิงหรูตอนนี้แม้มีใจเลือกเส้นทางชีวิตใหม่แล้วแต่ตอนนี้นางยังอยู่ในบทบาทฮูหยินอยู่ก็ต้องรับผิดชอบในหน้าที่ ไม่อาจละเลยให้คนครหาได้
เพราะในจวนเซียวไม่มีใครสนใจว่าชิงหรูเหนื่อยเพียงใด เจ็บเพียงใด หรือป่วยเพียงไหน สิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจเกี่ยวกับนางคือ การรับผิดชอบในหน้าที่อย่างไม่ขาดตกในธรรมเนียม...
นางเดินฝ่าแดดอุ่นยามเช้าที่เริ่มร้อนขึ้นไปยังเรือนของเวินซื่อฟางหญิงวัยกลางคนแห่งตระกูลเซียวผู้ดูแลจวนด้วยความเคร่งครัด และหัวโบราณ
เพียงก้าวผ่านธรณีประตูเข้าไป กลิ่นยาอ่อน ๆ ลอยฟุ้งเข้าจมูก
บ่าวในเรือนหันมามองโดยพลัน ก่อนจะทยอยพากันถอยออกมาอย่างรู้หน้าที่
“ฮูหยินใหญ่กำลังล้างหน้าเจ้าค่ะ” หนึ่งในนั้นกระซิบ
ลู่ชิงหรูก้มหน้ารับคำ แล้วเดินเข้าไปด้วยฝีเท้าไม่ดัง ชิงหรูส่งถ้วยน้ำชาแล้วคุกเข่ารอเรียบร้อย
เวินซื่อฟางยื่นมือรับชาไปอย่างไม่เอ่ยคำชมใด ดื่มหนึ่งจิบ แล้วมองสะใภ้ตรงหน้าที่คุกเข่าอย่างอ่อนแรงชัดเจน
“เมื่อคืนนี้บรรพบุรุษตระกูลเซียวคงสั่งสอนเจ้าเป็นอย่างดีสินะ...”
เสียงของนางนิ่งราบ ราวพอใจกับท่าทีนอบน้อมของชิงหรูยิ่งนัก นางไม่เอ่ยชมว่าชิงหรูคิดได้เองแต่กลับสรรเสริญวิญญาณบรรพบุรุษตนเองออกมา ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างจากการเอ่ยชมการสั่งสอนของตนเองที่ได้ผล
ชิงหรูนิ่ง ไม่ปฏิเสธ ไม่กล่าวแก้ นางบัดนี้เหมือนชิงหรูที่ไร้จิตวิญญาณ นางมาเพื่อทำตามหน้าที่ ไม่ทำเกินอย่างหวังให้ใครเห็นและชื่นชมแบบเมื่อก่อน
...นางมีหน้าที่ต้องทำอะไรก็ทำแค่นั้น
“เจ้าจำไว้เล่าว่าในจวนของตระกูลใหญ่ สตรีใดไม่รู้เคารพในผู้อาวุโส...ย่อมไม่มีที่ยืน”
เวินซื่อฟางกล่าวต่อ พร้อมขยับปลายผ้าเช็ดมือขึ้นมาเช็ดริมฝีปากที่ชื้นน้ำ นางขยับกายเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนท่านั่งก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเนิบนาบหากแต่เปี่ยมด้วยความหมายที่บีบคั้น
“เจ้าเป็นสะใภ้ตระกูลเซียวมาก็ปาเข้าไปปีที่สองแล้ว เหตุใดเงียบเชียบนัก สมควรมีข่าวดีเรื่องทายาทสักที...”
ชิงหรูก้มหน้านิ่ง หัวใจสะท้อนวูบพยายามไม่แสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา อีกทั้งนางยังต้องฝืนยิ้มจาง ๆอีกหนึ่งที
“ลูกสะใภ้...จะพยายามเจ้าค่ะ”
ปากบอกเช่นนั้นแต่ในใจนางรู้ดี หากซื่อฟางอยากให้นางมีทายาทจริง ก็ควรไปบังคับบุตรชายของตนเองมากกว่า แม้แต่หน้าภรรยาแต่งยังไม่อยากจะมองเลย เอาอันใดมาผลิตทายาทกันเล่า
จะให้นางสร้างทายาทกับผ้าห่มในห้องหรืออย่างไร ?
เวินซื่อฟางเหลือบตามองลูกสะใภ้ที่นิ่งไม่ไหวติงเล็กน้อย สุดท้ายก็รู้สึกอยากพักผ่อนขึ้นมาจึงกล่าวให้นางออกไปได้แล้ว ส่วนตนเองก็เรียกให้ป้าม่อมาประคองออกไปข้างนอก
หลังกลับจากเรือนของแม่สามี ลู่ชิงหรูก็เดินกลับยังเรือนของตนในทันที เมื่อกลับถึงห้อง เสี่ยวเฉินก็ช่วยถอดปิ่นออกให้นาง ถอดเสื้อตัวนอกให้ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
“ฮูหยินน้อย เอนตัวพักสักนิดดีไหมเจ้าคะ”
ชิงหรูเพียงพยักหน้าเบา ๆ ก่อนสั่งเสียงเรียบต่อมาซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องงานในหน้าที่ของตนอีก
“ไปบอกพ่อบ้านฉี...ให้เอาบัญชีเรือนทั้งหมดมาวางไว้ในห้องนี้ ข้าจะตรวจเองในยามบ่าย”
เสี่ยวเฉินรับคำแล้วรีบออกไป ลู่ชิงหรูก้าวไปยังตั่งนอน เอนตัวลงโดยยังมิทันถอดรองเท้า แผ่นหลังแนบหมอนข้าง ทันทีที่ศีรษะแตะหมอน นางแทบหลับลงในชั่วอึดใจ
กระทั่งผ่านไปครึ่งวันชิงหรูรับยาต้มแก้ไข้ ลดอาการวิงเวียนศีรษะ เพื่อให้นางสามารถลุกขึ้นมาจัดการบัญชีตามที่ตั้งใจไว้ได้จนเสร็จ
พ่อบ้านฉีนั้นอยู่คอยช่วยกำกับดูแลจวนมาตลอดเห็นถึงความลำบากและตั้งใจของชิงหรูมากกว่าใคร
“ฮูหยินน้อย บ่าวมีเรื่องหนึ่งจะแจ้งขอรับ”
ชิงหรูเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาคล้ายไร้ประกายความมีชีวิตชีวาเช่นเคย
“เรื่องอันใดหรือ?”
“ในอีกสามวันข้างหน้า ท่านแม่ทัพจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงฉลองต้อนรับขุนนางตระกูลหลี่ และครานี้ฮูหยินน้อยจำเป็นต้องไปร่วมออกงานด้วยขอรับ”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความดีใจ ในใจนึกว่านี่คงเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับภรรยาผู้ซึ่งแต่งเข้าจวนมาสองปี แต่ยังไม่เคยออกงานเคียงข้างสามีแม้แต่คราเดียว
ทว่าการตอบสนองที่เขาได้รับ…กลับคือความเงียบสงบ
ลู่ชิงหรูฟังแล้วก็เพียงพยักหน้าเบา ๆ ดวงตานิ่ง สีหน้าเรียบเรื่อยจนแทบไม่มีคลื่นอารมณ์ใดไหวสะท้อนอย่างที่ควร
“ข้าทราบแล้ว...”
พ่อบ้านฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังไม่กล้าเอ่ยถามเพื่อคลายความสงสัยของตน ได้แต่ก้มศีรษะรับคำ
“ของทั้งหมดจัดการเรียบร้อยแล้ว ก็ให้บ่าวมาเก็บออกไปเถิด”
เขาทำตามคำสั่ง พลางหันหลังกลับด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาดในใจไม่คลาย
เสี่ยวเฉินเข้ามาช่วยจัดโต๊ะทำงานต่อจากพ่อบ้านฉีที่กลับไปแล้ว ขณะเงยหน้ามองนายหญิงของตนที่นั่งนิ่งค้างท่าเดิมอยู่นาน สายตาทอดมองไปที่หน้าต่างราวครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
ในใจของลู่ชิงหรูตอนนี้ ไม่ได้คาดหวังเปลี่ยนความรู้สึกใคร นางมีเพียง หน้าที่ และ ความจำเป็น ที่ยังต้องทนอยู่ในตระกูลนี้…ต่อไปอีกหน่อยเท่านั้น
