บทที่ 5 ฮูหยินน้อยกลับมาได้เสียที
เสียงล้อบดดินดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนหยุดลงใกล้พอให้เห็นรถม้าสีเข้มเต็มสองตา ประตูไม้สลักลายเรียบหรูไม่มีตราตระกูลใดประทับไว้
ม่านผ้าด้านข้างถูกรวบเปิดออกเล็กน้อย เผยให้เห็น เจ้าของรถม้าเป็นบุรุษในชุดยาวสีเทาเรียบสะอาด เขามีใบหน้าคมรับกับแนวคิ้วเรียวตรง จมูกโด่งและริมฝีปากบางที่ขยับเพียงน้อย ดวงตาคมกริบเป็นประกาย แต่แฝงไว้ด้วยความสุขุมและนุ่มนวลไปในตัว
“ต้องการเข้าเมืองหรือ?”
เขาเอ่ย น้ำเสียงทุ้มแต่ไม่เย็นชา แฝงความระแวดระวังไว้เบื้องหลัง
เสี่ยวเฉินรีบค้อมศีรษะอย่างนอบน้อมทันใด “เจ้าค่ะคุณชาย ได้โปรดเมตตาพวกเราด้วย...”
เขามองพวกนางเงียบ ๆ ดวงตาหลุบลงมองที่เสื้อผ้าอาภรณ์ ซึ่งแม้จะเปื้อนฝุ่นอยู่บ้าง แต่เนื้อผ้ากลับบ่งบอกว่าเป็นของชั้นสูง
น่าประหลาดที่สวมชุดดูดี ...แต่กลับมาเดินอยู่กลางแดดไร้รถม้าสัญจร เขาได้แต่คิดในใจโดยไม่เอ่ยอะไรออกมา
“ขึ้นมาก่อนเถิด ข้างนอกร้อนนัก” เขาเอ่ยเบา ๆ พลางเลื่อนม่านปิดลง
ชิงหรูที่ยืนอยู่เงียบ ๆ ด้านหลังเพียงขยับร่างกายตามแรงที่เสี่ยวเฉินดึงให้ขึ้นรถ นางหลบหน้าไว้ใต้ผ้าคลุมยาวที่ใช้บังแดดระหว่างทางมาตลอดตามเดิม มืออีกข้างประคองตัวอย่างระมัดระวัง
บุรุษผู้มีพระคุณนั้นก็เหลือบตามองสตรีที่ตามหลังเพียงครู่หนึ่งก็เห็นถึงความผิดปกติบางอย่าง สายตาของเขาไล่ลงมาหยุดอยู่ที่ข้อมือของนางซึ่งมีรอยช้ำสีคล้ำแทรกอยู่ใต้ชายแขนเสื้อ อีกทั้งขอบผ้าก็มีรอยดินแห้งจับอยู่เป็นจุด ๆ ราวกับเคยล้มคลุกดินอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าเขาไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงหันหน้าไปอีกทางราวกับไม่เห็น แม้ในใจจะรู้ดีว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้น...ไม่ใช่เรื่องธรรมดี่สตรีสองนามสมควรเจอแน่นอน
รถม้าค่อย ๆ แล่นไปอย่างมั่นคงต่อ ชิงหรูยังไม่เปิดผ้าคลุมที่หัวออก ทว่าอากาศช่วงครึ่งหลังของวันนี้อบอ้าวนัก เหงื่อเริ่มซึมตามไรผม เสียงลมหายใจของนางเริ่มติดขัดเล็กน้อยเพราะอากาศในรถไม่ถ่ายเทมากพอให้นางอยู่อย่างสบายเมื่อคลุมผ้าปิดทึบอยู่
ชายหนุ่มเจ้าของรถม้าเหลือบมอง แล้วเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“พื้นที่บนรถม้าคับแคบ หากยังคลุมหน้าไว้อีก คงไม่สบายตัวและจะเป็นลมแดดเอาได้...”
ชิงหรูชะงักไปเล็กน้อย รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ เพียงเตือนตามความหวังดีเท่านั้น ที่นางไม่ถอดออกเพราะไม่ค่อยอยากเปิดเผยใบหน้าของตนให้ใครเห็น อย่างไรหากคนรู้ว่าฮูหยินท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่มาเดินกลางถนนคงไม่ดีนัก
แต่เมื่อไม่อาจคลุมผ้าที่หัวต่อไปได้จึงจำเป็นต้องปลดผ้าคลุมออก ภายใต้ผ้าคลุมสีทึมนั้นเผยให้เห็นใบหน้าเรียวงดงาม ดวงตายาวรีที่แฝงความวูบไหวของอารมณ์ในช่วงนี้ เมื่อผสานกับใบหน้าซีดเซียวจากการเผชิญกับสิ่งไม่คาดคิดกลับทำให้ดูงดงามจับตาน่าถะนุถนอมไปอีกแบบ
ยามที่เส้นผมหลุดจากปิ่นปักพลิ้วแนบแก้มตามแรงลมข้างนอกยิ่งขับให้นางดูเหมือนภาพฝันกลางวันของนางเซียนยามลงมาเยี่ยมชมโลกมนุษย์ยิ่งนัก
บุรุษเจ้าของรถม้าเผลอมองนิ่ง ริมฝีปากขยับไม่ออกไปครู่หนึ่ง พอได้สติว่าตนจ้องอีกฝ่ายมากเกินไปก็ต้องเบือนสายตาออกนอกหน้าต่างก่อนจะกระแอมเบา ๆ กลบเกลื่อน
“เหตุใดแม่นางจึงเดินอยู่กลางถนนที่แดดแรงเช่นนั้น?”
เขาเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน น้ำเสียงไม่ได้แฝงอารมณ์ใด เพียงพูดขึ้นด้วยความสงสัย
ชิงหรูก้มหน้าลงเล็กน้อย ยามมีคนถามก็ทำให้นางคิดย้อนไปถึงสิ่งที่เพิ่งพบเจอมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดวงตาเรียวงามไม่กล้าสบอีกฝ่ายตรง ๆ
“ข้า...รถม้าของเราบังเอิญเสียกลางทางน่ะเจ้าค่ะ”
เสียงของนางเรียบเฉย...จนคนฟังรับรู้ถึงความว่างเปล่าราวกับจมอยู่ในหมอกทึบบางอย่าง คำพูดอ้อม ๆ นี้บ่งบอกว่านางยังไม่พร้อมจะเล่าอะไรทั้งสิ้น ไหนจะน้ำเสียงนั่นจะแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าทางใจอย่างยากจะอธิบาย
เขาไม่ได้ถามต่อ นั่งเงียบลงเช่นเดิม มองออกไปยังทิวทัศน์ที่เลื่อนผ่านด้านนอก จากที่คิดจะถามที่มาที่ไปมากกว่านี้ก็เลือกจะเงียบลงอย่างรู้มารยาท
ชิงหรูยิ้มจืดจางอย่างขอบคุณอีกฝ่าย ดูจากสีหน้าเมื่อครู่เขาน่าจะอยากรู้อะไรมากกว่านี้แท้ ๆ แต่เขาก็เลือกจะไม่ถามต่อ เขาไม่ถามแม้กระทั่งตัวตนของพวกนาง เช่นนั้นนางก็ไม่ควรอยากรู้ตัวตนของอีกฝ่ายเช่นกัน แม้นางอยากจะทดแทนบุญคุณที่เขาให้ความช่วยเหลือก็ตาม...
เมื่อเข้าใกล้กำแพงเมือง รถม้าคันนี้ไม่ได้หยุดต่อแถวเดียวกับประชากรชาวบ้านทั่วไป แต่กลับเบี่ยงเข้าแถวพิเศษที่มีไว้สำหรับให้ขุนนางและเจ้าหน้าที่บางคน สารถีเพียงยื่นป้ายไม้ให้เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูดู ก่อนเจ้าหน้าที่จะรีบโค้งศีรษะเปิดทางให้รถม้าผ่านเข้าเมืองไปอย่างง่ายดาย
ชิงหรูแอบเหลือบตามองป้ายแผ่นนั้นเมื่อครู่ มันทำจากไม้เนื้อดี แต่แสดงตรากรมหรือราชสำนักใด นางก็มองไม่ทัน
“ต้องขอบคุณคุณชายมากที่เมตตาพวกเรา ข้าไม่รู้ว่าจะตอบแทนท่านอย่างไรดี...”
เสียงของชิงหรูเบาลง นางยังรู้สึกลังเลอยู่ในใจว่าจะตอบแทนเขาอย่างไรดี นางไม่กล้าเสนอเงิน มันคงเป็นการดูแคลนเกินไปสำหรับบุรุษในชุดหรูหราเช่นนี้
อีกฝ่ายกลับยิ้มบาง ๆ ส่งไปให้ “ไม่ต้องหรอก ยังไงก็เป็นทางผ่านของข้าอยู่แล้ว”
เขาผงกศีรษะเล็กน้อย ดวงตายังสุขุมแต่ไม่ได้เย็นชา “ขอให้เดินทางกลับบ้านอย่างดี...”
รถม้ารับจ้างหยุดลงหน้าจวนเซียวเมื่อฟ้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินหม่นอันเป็นผลจากแสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว
เสี่ยวเฉินก้าวลงจากรถม้ารับจ้างมาก่อน แล้วหันกลับมาช่วยพยุงนายหญิงของตนลงจากรถ ท่ามกลางสายตาของบ่าวจวนที่ยังคงเดินไปมาทำหน้าที่ในยามพลบค่ำ
สายตาทุกคู่ก็เริ่มจับจ้อง...และเปลี่ยนเป็นมองอย่างไม่เข้าใจ
ลู่ชิงหรูยังคงยืดหลังตรง นางไม่เอ่ยอะไรแม้ก้าวเดินของนางจะเริ่มอ่อนล้า แต่ก็ไม่ยอมแสดงให้ใครเห็นเพราะหมวดบทบาทฮูหยินจวนที่สวมอยู่
ยังไม่ทันถึงหน้าเรือนหลักของตน ก็ปรากฏร่างของบ่าวอาวุโส ป้าม่อ ขวางทางไว้และรีบสาวเท้าเข้ามาหาอย่างร้อนรน ใบหน้าบึ้งตึงขึงไม่ปิดบังความไม่พอใจ
“ฮูหยินน้อยกลับมาได้เสียที...บ่าวนึกว่าท่านไม่คิดจะกลับจวนเสียแล้ว”
เสียงกระแทกหูดังมาพร้อมกับเงาอีกสองสาย ร่างของแม่สามีผู้เคร่งธรรมเนียมก้าวตามออกมาช้า ๆ น้ำเสียงเยือกเย็นดังขึ้นโดยไม่รอให้ใครเอ่ยคำทัก
“สะใภ้ของสกุลเซียว กลับเข้าจวนยามฟ้าสีหมึก... กลับจวนด้วยรถโดยสาร ย่อมเป็นหัวข้อชั้นดีให้เขาลือเขาเล่าให้จวนเราเสื่อมเสียสิ้นแน่แท้”
คำกล่าวหานี้ทำให้ชิงหรูต้องชะงัก นางขยับจะเอ่ยคำชี้แจง แต่ยังไม่ทันได้เปล่งเสียง ก็มีอีกหนึ่งเสียงแทรกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พี่สะใภ้คงมิได้ตั้งใจกลับเมื่อฟ้ามืดหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่พี่สะใภ้นั้น นาน ๆ จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตานอกจวนทีก็อาจจะคำนวณเวลาผิดไปบ้างเท่านั้น ใช่ไหมเจ้าคะ?”
เซียวอี้หลันที่เพิ่งได้รับความช่วยเหลือจากนางเมื่อไม่นาน รีบช่วยพูดอย่างหวังดี แต่กลับกลายเป็นสร้างความเข้าใจผิดมากกว่าเดิมเสียแล้ว
ตอนนี้ร่างกายของชิงหรูอ่อนแอนัก เป็นผลมาจากไม่ได้กินข้าวมื้อกลางวันไม่พอ ยังออกกำลังไปมาก กว่าจะกลับจวนได้ ยิ่งกว่านั้นแรงใจของนางก็แทบไม่เหลือพอถูกโจมตีทางจิตใจเพิ่มก็ยากจะไม่รู้สึกท้อแท้อย่างหนัก นางเพียงหลุบตาลงช้า ๆ พลางสูดลมหายใจขับไล่ม่านน้ำตาที่พร้อมจะไหลพรูออกมาทุกเมื่อ
หากแต่ไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยคำใด เสียงคำสั่งเด็ดขาดก็ดังขึ้นจากปากแม่สามีที่เคยกล่าวชื่นชมนางมาตลอดนั่นเอง
“ผู้ใดละเมิดกฎ ย่อมต้องได้รับโทษ มิใช่เพียงเรื่องทำให้ตระกูลเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ผู้มีอำนาจควบคุมดูแลระเบียบของจวนหากไม่สามารถทำเองได้แล้วบ่าวที่ไหนจะเคารพทำตามตาม ! อาม่อ...พาตัวนางไปคุกเข่าหน้าศาลบรรพชน ห้ามนำอาหารไปให้นาง ห้ามเข้าห้องนอนจนถึงรุ่งสางวันพรุ่งนี้”
บ่าวที่ยืนรอคำสั่งก้าวเข้ามาอย่างรู้หน้าที่ เสี่ยวเฉินเบิกตากว้างรีบจะเข้าห้ามแต่ก็ถูกขัดขวางทันที
“บ่าวต่ำศักดิ์ อย่ายื่นปาก!”
ป้าม่อเอ็ดกลับทำให้เสี่ยวเฉินต้องกัดฟันกลั้นน้ำตาอย่างอดกลั้นกับสิ่งที่เจ้านายของนางได้เจอ ชิงหรูถอยหลบการถูกจับกุมจากป้าม่อ เพราะนางรู้แน่ชัดว่าตนมิได้ทำอะไรผิด
“ข้า...มิได้ผิดอย่างที่ท่านแม่กล่าว เหตุดะ-” ชิงหรูพยายามกล่าวเสียงแผ่ว แต่ทันทีที่นางขยับถอย บ่าวก็เข้าคล้องแขนนางอย่างแรง
“อ้ะ...!”
เสียงสะท้อนทันทีเนื่องจากถูกบ่าวสมุนเข้ามาจับโดนที่รอยช้ำบนแขน ใบหน้าของนางบิดเกร็งชั่วขณะ ทว่ากลับไม่มีแม้แต่คนเดียวถามว่าเหตุใดถึงร้องเช่นนั้น
ไม่มีใครมองเห็นว่าเนื้อตัวใต้เสื้อผ้านั้นเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ไม่มีใครถามว่านางไปพบเจอสิ่งใด ไม่มีใครสนใจว่าทำไมนางกลับมาด้วยรถม้ารับจ้าง ไม่ใช่รถม้าของจวนเอง...
“ผู้น้อยบังอาจเถียงผู้อาวุโสเช่นนั้นหรือ? เจ้าลืมแล้วกระมังว่าตำแหน่งฮูหยินนี้ได้มาอย่างไร... ”
แม่สามีกล่าวเสียงราบ สายตาที่มองมาราวมองคนนอกล้วนบอกความจริงอีกหนึ่งข้อให้ชิงหรูได้เข้าใจถ่องแท้เสียแล้ว
ชิงหรูมองแผ่นหลังของคนที่นางเคยคิดว่าเป็นครอบครัวของตนในชาตินี้กำลังเดินจากไป...
ตำแหน่งสูงส่งของจวนนี้ ช่างกลวงเปล่าจริง ๆ
ชิงหรูไม่ขัดขืน เพราะรู้ว่าต่อให้เปล่งเสียงอีกกี่คำ ก็ไม่มีผู้ใดฟัง...
ศาลบรรพชนของตระกูลเซียวเงียบงันในยามราตรี ลมเย็นพัดลอดระหว่างช่องไม้ เสียงกระดิ่งลมห้อยใต้ชายหลังคาเขย่ากลืนเสียงสะอื้นที่หลุดจากริมฝีปากปาก
ลู่ชิงหรูคุกเข่าอยู่ตรงนี้หลายชั่วยามแล้ว
นางหิว เจ็บ ปวด...และว้าเหว่ แต่บัดนี้นางร้องไห้จนไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียวแล้ว
...ค่ำคืนนี้นอกจากจะเป็นคืนที่ความพยายามทั้งหมดของนางถูกเหยียบย่ำคราแล้วคราเล่า มันก็ยังเป็นคืนที่นางตระหนักถึงเส้นทางใหม่ในอนาคตได้อีกเช่นกัน
