บทที่ 7 องค์ชายสามขอความช่วยเหลือ
เซียวอี้หลันมาหานางแต่เช้าในวันหนึ่งก่อนวันเลี้ยงตระกูลหลี่จะมาถึง
“พี่สะใภ้ วันนี้พอจะว่างหรือไม่เจ้าคะ?” นางเอ่ยถามด้วยดวงตาวาววับ “ข้าคิดจะออกไปเลือกเครื่องประดับใส่ไปงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้ อยากให้พี่สะใภ้ไปช่วยเลือกด้วยหน่อยเจ้าค่ะ”
ลู่ชิงหรูวางพู่กันในมือ สีหน้าเรียบสงบแย้มยิ้มรับเล็กน้อย นางเพิ่งจัดการบัญชีร้านค้าแห่งหนึ่งเสร็จไปครึ่งส่วน พอเห็นอีกฝ่ายเข้ามาหาก็พยักหน้าตกลงอย่างง่ายดาย
เพราะนางก็อยากออกไปข้างนอกอยู่แล้ว นางได้โอกาสไปสำรวจความต้องการตลาดเผื่อลู่ทางในอนาคตด้วยก็ย่อมดีกว่าฟังคำรายงานของผู้อื่น
“ดี ข้าก็ยังมิได้เลือกเครื่องประดับให้เข้ากับชุดเลยเช่นกัน ถือโอกาสออกไปเปิดหูเปิดตาก็ไม่เลว”
ไม่นาน รถม้าสลักลายประณีตของจวนเซียวก็เคลื่อนตัวออกจากประตูหน้าจวน เจ้านายสาวทั้งสองนั่งเคียงกันด้านใน ส่วนบ่าวสองคนของทั้งสองก็นั่งร่วมอยู่ข้างสารถีที่นอกรถม้า
รถม้าหยุดลงหน้าร้านเครื่องประดับขึ้นชื่อ หงส์หยูหลง ร้านขนาดใหญ่ ด้านหน้าประดับม่านไหมสีชมพูอ่อนที่ปลิวเบา ๆ ตามลม แสดงออกชัดเจนว่าภายในร้านนี้มีแต่สิ่งงดงามเหมาะกับสตรีและคนที่มาซื้อของให้สตรี
เมื่อทั้งสองลงจากรถ เถ้าแก่เจ้าของร้านผู้มีอายุไม่น้อยก็รีบออกมาต้อนรับอย่างรู้งาน
“เชิญคุณหนูเซียวและฮูหยินเซียวขอรับ ร้านข้าน้อยมีหยกเซียนหลี่ที่เพิ่งเข้ามาเมื่อเช้านี้ สีสันสดไม่แพ้หยกใดในเมืองหลวง เชิญชมก่อนเถิดขอรับ”
ทั้งสองเดินชมภายในร้านอย่างเพลิดเพลิน เครื่องประดับหยก มุก หยกขาวแต้มสีบ้างดูแปลกตา เครื่องประดับทองสลักลายดอกไม้หลากหลายก็มีวางแสดงเต็มร้าน
ขณะชิงหรูกำลังสนใจกับต่างหูหยกสลักลายกลีบดอกเหมยขึ้นพิจารณา อี้หลันที่ละความสนใจไปแล้วก็เดินถอยหลังเพื่อไปมองอีกมุมหนึ่ง ทว่านางไม่ทันหันไปมองข้างหลังทำให้ถอยไปชนเข้ากับร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เพิ่งก้าวเข้ามาดูของบริเวณนี้พอดี
“อ๊ะ ว้าย…”
อีกฝ่ายยกมือโอบรับไว้ได้ทันก่อนอี้หลันจะเซล้มไป..
“ขออภัย ข้าผิดเองที่มิได้เดินดูทางให้ดี คุณหนูเป็นอันใดมากไหม?”
เสียงของเขานุ่มลึก สุภาพ และเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง
อี้หลันเงยหน้าขึ้นแล้วก็ชะงัก ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนจะส่งผลให้แก้มขึ้นสีแดงระเรื่อทันใด
บุรุษผู้นั้นสูงสง่า ใบหน้าแต้มรอยยิ้มดูเข้าถึงง่าย ภายใต้ชุดเรียบรื่นประดับลายปักดูผอมบางแต่ก็ไม่อ้อนแอ้นเกินบุรุษ
“ข้าไม่เป็นอันใดเข้าค่ะ เป็นข้าเองที่ขออภัยที่ถอยไม่มองทาง”
คุณชายท่านนั้นช่วยพยุงอี้หลันให้ขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ก่อนถอยออกมาโน้มให้พร้อมหยักยิ้มตาหลี่ลง
“ข้ามีนามว่าจิ่นหยาง จากสกุลไป๋” เขาเอ่ยแนะนำตัวด้วยสุ้มเสียงนุ่มนวลชวนมอง
“เจ้าค่ะ เอ่อ ข้า…คุณหนูรองตระกูลเซียวเจ้าค่ะ”
อี้หลันที่ใบหน้ายังไม่คลายขัดเขินตอบเสียงเบา หัวใจเต้นแรงบัดนี้ยังไม่ช้าลงเลย ฉากการพบกันระหว่างทั้งคู่ทำให้คนนอกที่มองอยู่อย่างชิงหรูรับรู้ได้ถึงมวลความรู้สึกบางอย่างระหว่างหนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษนี้
สายตาทั้งสองสบกันอยู่อีกอึดใจหนึ่ง ก่อนที่จิ่นหยางจะโค้งเล็กน้อย แล้วเอ่ยลาไป
“ยินดีที่ได้รู้จักคุณหนูเซียว ขอให้วันนี้ของท่าน…เป็นวันที่ดี”
สิ้นถ้อยคำ เขาจึงค้อมศีรษะ แล้วผละจากไปทิ้งให้สตรีที่ถูกอวบพรยืนนิ่ง บนหน้าแต่งแต้มรอยแดงซ่าน ชิงหรูที่มองจากอีกฟากของร้านได้แต่หลุบตาน้อย ๆไม่พูดอันใด เพราะนั่นล้วนมิใช่เรื่องของนาง
ขณะทั้งสองขึ้นรถม้าเตรียมกลับจวนแล้วนั้น ดวงตาของอี้หลันนั้นล่องลอยไม่อยู่กับตัวชัดเจน ท่ามกลางความเงียบนั้นอยู่ดีดีคนที่สติเตลิดก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากทำลายความเงียบลง
“พี่สะใภ้… ท่านเชื่อในรักแรกพบหรือไม่?”
ชิงหรูละสายตาจากวิวนอกหน้าต่างรถม้า หันไปมองคนพูดพลางอ่านว่าอีกฝ่ายถามเพื่อต้องการอันใด เมื่อเห็นว่าอี้หลันถามเพราะต้องการข้อคิดเห็นจริง ๆ ชิงหรูก็เปิดปากพูดในสิ่งที่นางคิด
“ไม่ ข้าเชื่อในสิ่งที่เราลงมือทำ มากกว่าโชคชะตาที่ฟ้าลิขิต”
อี้หลันหัวเราะเบา ๆ พยักหน้าให้กับคำตอบที่ช่างขัดแย้งกับสิ่งที่นางต้องการได้ยินนัก หากถามต่อไปก็มีแต่จะทำให้ความฝันของตนสลายอย่างไม่ต้องสงสัย
ลู่ชิงหรูหันกลับไปทอดสายตามองนอกม่านหน้าต่างรถม้าอีกครา...
รักแรกพบหรือ…หากอี้หลันจะถามเพื่อให้ได้คำตอบตรงใจของนางนั้น ควรต้องไปถามพี่ชายของนางน่าจะได้อย่างที่หวัง
เพราะเขานั้น…หลงรักนางเอกในนิยายตั้งแต่แรกพบอย่างไรล่ะ
วันที่ชิงหรูต้องไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนหลี่ในฐานะฮูหยินของเซียวเหยียนหลงก็มาถึง ที่หน้าจวนสกุลเซียว บ่าวหญิงยืนเรียงรายเป็นระเบียบเพื่อรอส่งเจ้านายอย่างลู่ชิงหรูกับเซียวอี้หลัน
อี้หลันสวมชุดสีชมพูพีชอ่อน ปักลายกลีบบัวโปรยปักด้วยด้ายเงินทั่วชายแขน เส้นผมรวบขึ้นครึ่งศีรษะ ประดับด้วยปิ่นทองรูปผีเสื้อบิน ดูสดใสราวกับคุณหนูที่เพิ่งผลิบานสมกับย่างเข้าวัยปักปิ่น
ส่วนลู่ชิงหรูในวันนี้สวมชุดหรูยาวลากพื้นสีม่วงหมึกเจือดิ้นทอง ลายปักเมฆประดับกลางอก กลีบแขนเสื้อบางพริ้วสอดรับทุกจังหวะก้าวและขยับตัว เส้นผมยาวถูกรวบมวยสูงครึ่งศีรษะ ประดับด้วยปิ่นหยกขาวสอดรับกับต่างหูหยกกลมสีขาว
ดูสูงสง่าสมฐานะฮูหยินของท่านแม่ทัพ งามเย้ายวนอย่างยากเอื้อมถึง
ทั้งสองมารอรถม้าที่หน้าจวนด้วยกันสักพัก พ่อบ้านฉีก็รีบรุดหลังจากได้ฟังข่าวจากคนของแม่ทัพเซียวแล้ว เขาเข้ามาค้อมตัวคารวะอย่างรีบร้อน
“เอ่อ ท่านแม่ทัพให้บ่าวมาแจ้งว่านายท่านจะตามไปภายหลัง ให้พวกท่านล่วงหน้าไปก่อนไม่ต้องรอไปพร้อมกันขอรับ”
อี้หลันกลั้นใบหน้าบูดบึ้งไว้ไม่อยู่
“ข้าก็ไม่คาดหวังอยู่แล้ว ว่าท่านพี่จะไปพร้อมกับเราสองคน”
ชิงหรูเพียงพยักหน้ารับเบา ๆ ไม่มีคำใดหลุดจากริมฝีปากบาง นางเองก็ไม่คาดหวังไม่ต่างกัน
ไม่คาดหวังก็ย่อมไม่ผิดหวัง ไม่ผิดหวังก็จึงไม่รู้สึกเสียใจเท่าไหร่นัก...
เมื่อถึงจวนหลี่ บ่าวรับแขกในชุดแดงรอต้อนรับอยู่เต็มลาน บรรยากาศภายในจวนดูพลุกพล่าน การตกแต่งดูโดดเด่นแต่ไม่เว่อวัง เสียงพิณแว่วมาเป็นระยะจากด้านในจวนชวนให้คนอยากเข้าไปภายในได้เป็นอย่างดี
เมื่อชิงหรูก้าวลงจากรถม้า กลุ่มผู้คนที่ยืนพูดคุยกันอยู่ก็เริ่มหันมามองทันที
ส่วนใหญ่พอรู้จักอี้หลันอยู่แล้ว และรีบเข้ามาทักด้วยซ้ำ แต่สายตาส่วนใหญ่…กลับจับจ้องมาที่นางที่เป็นคนที่ไม่เคยออกงานต่างหาก
“นั่นน่ะหรือ...ฮูหยินของท่านแม่ทัพเซียว?”
“ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยกระมัง เพิ่งเคยออกงานแรกหรือไร?”
“เห็นว่าท่านแม่ทัพไม่เคยแตะต้อง ไม่ยอมรับด้วยซ้ำ…”
ถ้อยคำเหล่านั้นไม่ได้ดังนัก แต่พอให้คนเดินไปได้ยินชัดเจน
สายตาหลายคู่เต็มไปด้วยการพินิจวิจารณ์ บ้างมองนางด้วยความชื่นชมในความงาม แต่ส่วนใหญ่… แฝงไปด้วยความสงสัย สมเพช และล้อเลียนเงียบ ๆมากกว่า
ชิงหรูยืดหลังให้หยียดตรง ก้าวเดินอย่างมั่นคง ไม่มีร่องรอยสะทกสะท้านแม้แต่น้อย ริมฝีปากเพียงคลี่ยิ้มบางพอเป็นพิธี
“พี่สะใภ้ ข้าขอแยกไปหาคุณหนูเซี่ยนะเจ้าคะ พวกนางรอข้าอยู่” อี้หลันเอ่ยด้วยสีหน้าร่าเริง
ชิงหรูพยักหน้าตอบ “ไปเถิด อย่าให้ใครคอยนาน”
หลังจากอี้หลันจากไปนางก็เดินไปกับเสี่ยวเฉิน มุ่งไปยังบริเวณรอบสวนด้านข้างจวน ต้นหลิวเอนอ่อนสะบัดปลายใบพริ้วแผ่วในสายลมอ่อน ให้ความสงบยิ่งกว่ากลางสถานที่จัดงานที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ
ความสงบเงียบดำเนินไปเรื่อยจนกระทั่งสายตานางพลันสะดุดเข้ากับชายคนหนึ่งที่คุ้นหน้า
เขา…คือบุรุษผู้นั้น ผู้ที่เคยช่วยนางไว้ยามนางไม่มีรถม้ากลับจากค่ายทหาร
บัดนี้…เขากำลังถูกกลุ่มคุณหนูสูงศักดิ์ล้อมหน้าล้อมหลัง
ใบหน้าคมคาย เส้นผมเกล้าเรียบคล้องด้วยห่วงหยกขอบทอง ชุดสีเข้มประดับลายเมฆทองดูสูงศักดิ์ทว่าเรียบง่าย ท่วงท่าเขาสงบนิ่งโดดเด่นยิ่งกว่าบุรุษใดในงานที่นางเดินผ่านมาจริง ๆ
“องค์ชายสาม... พระองค์ชอบชากลิ่นนี้ไหมเพคะ?” เป็นคุณหนูนางหนึ่งเอ่ยเรียกร้องความสนใจ
ทว่านั่นก็ทำให้ชิงหรูนิ่งไปโดยพลัน
ที่แท้เขาเป็นถึงองค์ชายสามเสวี่ยหยางนั่นเอง
บุรุษผู้นี้คือพระรองนิยาย เขาตกหลุมรักนางเอกเพราะเคยถูกนางเอกในนิยายช่วยชีวิตไว้โดยบังเอิญ
ชิงหรูเบือนหน้าหลบทันใจคิด พลันคิดจะเลี่ยงออกไปอีกทาง เพราะนางไม่ต้องการพัวพันกับใครก็ตามที่อยู่ในเส้นเรื่องนิยาย โดยเฉพาะเหล่าบุรุษที่หลงรักนางเอกในนิยาย
เดี๋ยวจะพาลให้นางร้ายเช่นนางถูกฆ่าตายเพราะไปขัดขวางพวกเขาอยู่กับนางเอกในนิยายเอา
แต่ไม่ทันจากไป ก็ถูกเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นข้างหู เป็นองค์ชายสามที่พุ่งมายืนข้างนางเมื่อไรมิรู้
“ฮูหยินเซียว”
นางหันมองอย่างตกใจสบเข้ากับดวงตาเปล่งประกายราวปลาที่ได้สัมผัสน้ำ “เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่? เพียงแสร้งคุยเล่นอยู่กับข้าครู่หนึ่งก็พอ...”
ชิงหรูเงยหน้าขึ้นสบตาเขาเพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ อย่างไม่อาจปฏิเสธคนที่เป็นผู้มีพระคุณนางครั้งหนึ่งได้
ชายหนุ่มผงกหัวอย่างขอบคุณแล้วเดินเคียงคู่ชิงหรูจาดกลุ่มคุณหนูไป...
กลุ่มคุณหนูต่างส่งสายตาตามมาไม่ห่าง สายตาหลายคู่เต็มไปด้วยความสงสัย บ้างมีร่องรอยไม่พอใจ บ้างดูไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดเขาถึงเลือกไปจากพวกนาง
และทั้งหมดก็จับจ้องมองที่ชิงหรูราวกับนางคือผู้แย่งของรักไป
ลู่ชิงหรูถอนใจยาวอย่างอ่อนใจ...
คนส่วนใหญ่มักกล่าวหาผู้อื่นก่อนคิดว่าจะเป็นความผิดของตนเสมอนั่นล่ะ
