
บทย่อ
เหตุใดเล่า... เหตุใดนางจึงต้องทะลุเข้ามาเป็นนางร้ายในนิยาย ที่พระเอกผู้โหดร้ายมีธงแดงโบกสะบัดอยู่เหนือหัว เขา แม่ทัพหนุ่มผู้เย็นชา ร้ายกาจกับผู้อื่นไม่เลือกหน้าเว้นเสียแต่นางเอกในนิยาย ผู้เป็นดั่งรักแรกอันไม่อาจแตะต้องของเขา นาง ผู้เคราะห์ร้ายที่สวรรค์ทอดทิ้ง ส่งลงมาเผชิญกับความเอาแต่ใจของบุรุษเช่นเขา โดยไม่แม้แต่ได้โอกาสตั้งตัว ระหว่าง ความอดทนของนาง กับ ความอหังการของเขา สิ่งใดกันเล่า ที่จะถูกบดขยี้ไปก่อน!? แต่ไม่ว่าสวรรค์จะเล่นตลกเพียงใด นางก็ไม่มีวันก้มหัวให้โชคชะตาบ้าบอนี้เด็ดขาด!
บทนำ โชคชะตาของนางร้าย
ในชาติก่อน นางคือเด็กหญิงผู้ไร้ที่พึ่งอย่างแท้จริง เติบโตมาในบ้านเด็กกำพร้าที่ไร้ผู้อุปถัมภ์ เกิดมานางไม่เคยเห็นหน้าบิดา มารดา ไม่เคยถูกใครเรียกนางว่า ลูก และไม่เคยได้สัมผัสคำว่าครอบครัว
วันเวลาแต่ละวันผ่านไปเชื่องช้าท่ามกลางความโดดเดี่ยว ชีวิตของนางดำเนินเช่นนั้น ใช้ชีวิตหาเงินทุกวิถีทางทำทุกอย่างเพื่อให้สามารถมีเงินส่งตัวเองเรียน จนกระทั่งนางเรียนจบและมีงานทำ...
แต่แล้วในคืนหนึ่ง เมื่อนางหลับตาพร้อมหนังสือนิยายเล่มแรกของชีวิตที่นางซื้อมันด้วยเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงตนแรง นางยังอ่านไม่ทันจบพลันลืมตาขึ้นมา... นางก็กลับกลายเป็น ลู่ชิงหรู ฮูหยินเอกแห่งจวนแม่ทัพเซียวเหยียนหลง ผู้มีบทบาทในนิยายเป็นถึงพระเอกของเรื่อง
...น่าเสียดายที่ลู่ชิงหรูผู้นี้มิใช่นางเอกของนิยายเรื่องนี้ แต่นางคือนางร้ายที่อิจฉานางเอกจนเผลอพลั้งวางยาให้อีกฝ่ายตายตกไป ทว่าอย่างไรนางเอกก็คือนางเอก
ใช่แล้ว นางร้ายเช่นลู่ชิงหรูถูกจับได้ก่อนและถูกพระเอกในนิยายที่เป็นสามีของตนจบชีวิตลงด้วยมือของเขาเอง !
บทนางร้ายผู้น่าเวทนาผู้นี้จบชีวิตลงตั้งแต่เรื่องดำเนินไปไม่ถึงครึ่งเรื่องด้วยซ้ำ
เนื้อหาในนิยายที่นางรู้ก็จบลงเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งเรื่องเช่นกัน เป็นเพราะนางไม่อยากอ่านต่อกับนิยายน้ำเน่าเช่นนั้น แต่ใครจะคาดคิดเล่าว่าลืมตาขึ้นมาอีกที นางจะกลายเป็นตัวละครในนิยายไปเสียแล้ว...
“คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”
เสียงของลู่ชิงหรูดังเดิมทว่าในกายนั้นมีวิญญาณของคนจากศตวรรษที่ 20 อยู่แทนแล้ว ชิงหรูยื่นถ้วยน้ำชาอุ่นกำลังดีไปเบื้องหน้า สตรีวัยกลางคนผู้เปี่ยมด้วยอำนาจ เวินซื่อฟาง ผู้เป็นมารดาของสามี ดวงหน้าของนางเรียบเฉยดังผืนน้ำในฤดูคิมหันต์ ไร้ซึ่งแววเมตตา ไร้รอยยิ้มเอ็นดู
ตำแหน่งถัดจากผู้อาวุโส คือ สตรีผู้หนึ่ง ใบหน้าอ่อนวัยแต่แววตาเฉียบคมเย่อหยิ่ง เซียวอี้หลัน บุตรีคนรองของตระกูลเซียว น้องสาวสามีของนาง
เมื่อถ้วยชาถูกยื่นต่อหน้าแล้วทว่าซื่อฟางมิได้เอ่ยคำใด ยื่นมือรับและเพียงยกขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย ก่อนกล่าวเรียบ ๆ
“ชานี้...เย็นไปแล้ว”
เพียงคำเดียว บ่าวในห้องพลันพากันเงียบงัน ทุกคนต่างก้มหน้า ไม่มีใครขยับแม้จะรู้ว่าหน้าที่นั้นควรเป็นของพวกตนก็ตาม ชิงหรูนั้นเมื่อเห็นผู้อื่นนิ่งตนก็นิ่งตาม เพราะการที่นางมาเกิดในร่างตัวละครในนิยายนี้หากไม่ตามน้ำผู้อื่นไปจะถูกเปิดโปงว่ามีใครอื่นเอาได้ แย่สุดก็คือถูกกล่าวว่าเป็นผีสางมาสิงร่างและอาจถูกฆ่าตายเร็วยิ่งกว่าในนิยายเสียอีก
ท่ามกลางความเงียบงันนี้ก็เป็นอี้หลันที่ถอนหายใจก่อนวางถ้วยชาในมือตนและเอียงคอมองมาทางพี่สะใภ้ของตน รอยยิ้มของนางนั้นหยักยกมุมปากคล้ายเย้ยหยัน
“พี่สะใภ้เจ้าคะ…ท่านนิ่งเช่นนี้ทำอย่างกับไม่เคยมาคารวะท่านแม่มาก่อนอย่างไรอย่างนั้น หรือท่านจะรอให้ท่านแม่ไปอุ่นน้ำชาเอง?”
ชิงหรูเหลือบตามองอีกฝ่ายที่มองสบมา เมื่อย้อนคิดก็มีความเข้าใจบางอย่างแล้ว ฉับพลันหัวใจที่เคยเจือความอบอุ่นและมีความหวังพลันหนักอึ้งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อคืนวานนางเพิ่งวาดฝันว่าตนได้โอกาสมีชีวิตใหม่ที่ไม่โดดเดี่ยว ไม่ต้องใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวอีกต่อไป ยามเมื่อเผชิญกับความแปลกใหม่เหล่านี้จึงคาดหวังผิดทางไปบ้าง
ที่แท้การที่นางมีญาติผู้ใหญ่ก็ต้องตามมาด้วยการแสดงความกตัญญูนี่เอง... ก็ไม่ใช่ว่านางจะทำไม่ได้ เพียงแต่นี่เป็นเรื่องใหม่ที่นางไม่เคยทำเท่านั้น ไหนจะในนิยายที่อ่านไปเพียงน้อยนิดก็มิได้ลงรายละเอียดสำหรับความเป็นอยู่ของนางร้ายผู้นี้อยู่แล้ว
“…ท่านแม่รอสักครู่ ข้าจะรีบนำชาไปอุ่นมาใหม่เจ้าค่ะ”
ชิงหรูย่อตัวรับถาดชาแล้วเดินออกจากห้องไป...
ระหว่างเดินมุ่งหน้าไปครัวนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เป็นเสียงแหบพร่าของหญิงสูงวัยผู้หนึ่ง นางคือ ป้าม่อ บ่าวอาวุโสข้างกายซื่อฟางนั่นเอง
“ฮูหยินน้อย ท่านคงไม่คิดน้อยใจไปใช่ไหมเจ้าคะ” เสียงกล่าวขึ้นอย่างเชื่องช้า “ฮูหยินใหญ่ล้วนให้ท่านปรนนิบัติใกล้ชิดเช่นนี้ล้วนเพราะความเอ็นดูรที่มีต่อสะใภ้เช่นนั้นท่านทั้งนั้น อนุญาติ ให้ท่านเดินเข้าเดินออกเรือนหลักได้ถึงเพียงนี้แสดงว่าวางใจและรักใคร่มากเจ้าคะ”
ชิงหรูเพียงพยักหน้าเข้าใจแล้วก็หมุนกายไปทำหน้าที่ของตนต่อเท่านั้น ในใจของนางที่เคยเป็นผืนดินแห้งแล้งเมื่อได้คำปลอบประโลมดั่งน้ำเพียงหยดเดียวก็ย่อมสามารถมีชีวิตต่อได้แล้ว...
เท่าที่ชิงหรูรู้เกี่ยวกับนางร้ายผู้นี้จากการอ่านนิยายนั้น การที่ลู่ชิงหรูได้แต่งเข้ามาเป็นภรรยาเอกของเซียวเหยียนหลงนั้นเป็นเพราะเขาถูกมารดาบังคับ สามีของนางหาได้เต็มใจรับนางเป็นภรรยาของตนไม่ เช่นนั้นแล้วก็ไม่แปลกที่บทบรรยายของนักเขียนในนิยายจะบอกไว้ว่านางร้ายผู้นี้พยายามเอาใจและเป็นที่รักของซื่อฟางจนทำให้บุตรชายของเขาไม่พอใจอยู่หลายครา
ที่แท้เบื้องหลังของการถูกเอ็นดูรนั้นเป็นผลพวงมาจากการที่ลู่ชิงหรูต้องปรนนิบัติแม่สามีไม่ต่างจากบ่าวผู้หนึ่งนั่นเอง
ชิงหรูจัดการอุ่นน้ำชาและนำไปให้แม่สามีเสร็จก็ต้องไปจัดการเรื่องภายในจวนกับพ่อบ้านฉีผู้มีหน้าที่ดูแลจวนอีก จนกระทั้งฟ้าเริ่มมืดนางถึงได้เพิ่งกลับมาเหยียบเรือนหลักของจวน
...ค่ำคืนนี้ล่วงเลยจนน้ำชาข้างเตียงเย็นเฉียบก็ยังไม่เห็นเงาของเขาดังที่คาดไว้
ไม่รู้ว่านางกำลังฝันลม ๆ แล้ง ๆกับสิ่งใดอยู่กันแน่ ในเมื่อสามีของนาง มิได้กลับมาที่เรือนนี้ตั้งแต่วันแต่งงาน
ในชาติก่อน นางไม่เคยได้รับความรักจากครอบครัว ในชาตินี้...มีสามีเป็นของตนเองแต่ก็ได้ผลลัพธ์ไม่ต่างจากเดิมหรือนี่
หากนี่ คือโชคชะตาที่นางต้องเป็นนางร้ายในนิยายที่ไม่มีเหลียวแล ชีวิตสิ้นลงเพราะแรงริษยา
เช่นนั้น…นางก็จะไม่เดินซ้ำรอยเดิม
หากแม่ทัพเซียวเหยียนหลงยอมอ่อนโยนให้แก่นางเอกในนิยายเพียงผู้เดียว
นางร้ายเช่นนาง ก็จะเป็น ผู้เดียว นั้นแทน
ในเมื่อนางจะเปลี่ยนชะตาของนางร้ายที่ตายตั้งแต่ต้นเรื่องนี้
การเริ่มจากเปลี่ยนความรู้สึกของสามีผู้เป็นพระเอกนิยายที่มีนิสัยธงแดงต่อภรรยาเช่นนาง ก็เป็นแผนการที่ดีมิใช่หรือ...
ลมยามค่ำหอบเอากลิ่นดินและฝุ่นลอยปะปนในอากาศ ค่ายทหารที่อยู่ในการดูแลของแม่ทัพเซียวตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองหลวงไม่ไกลนัก กระโจมพักของแม่ทัพตั้งอยู่กลางค่าย รูปทรงธรรมดา ปราศจากการตกแต่งที่เกินจำเป็น
เซียวเหยียนหลงนั่งอยู่หน้ากองงานที่ตั้งสูง เสื้อคลุมสีเข้มไร้ลวดลายปัก ดวงหน้าเคร่งขรึมแฝงรัศมีผู้นำยากให้คนอยากเข้าหา แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันสะท้อนดวงตาคมลึกที่เย็นชาดุจเหล็กกล้าจนหากใครได้สบตาเป็นต้องเข่าอ่อนเสียทุกลาย
เสียงฝีเท้าหนักแน่นหยุดลงหน้ากระโจม ก่อนร่างของชายผู้หนึ่งจะเข้ามา
“ท่านแม่ทัพขอรับ”
ผู้พูดคือ หานเจิ้งหลิว ทหารคนสนิทควบคู่ตำแหน่งผู้ช่วยไปในตัว เขาติดตามแม่ทัพเซียวมาตั้งแต่ยามยังเป็นเพียงนายกอง ด้วยเพราะเขามีนิสัยเฉียบขาด เงียบขรึม และรู้ขอบเขตดีจึงเข้าตากับท่านแม่ทัพเซียวในที่สุด
เหยียนหลงเหลือบสายตาจากแผนที่ตรงหน้าอย่างเฉยชา “ว่ามา”
ผู้ช่วยหานรายงานความเรียบร้อยของค่ายตามลำดับอย่างที่เขาทำเป็นประจำ
...และก็เข้าสู่เรื่องสุดท้าย
“วันนี้มีใต้เท้าหวังจากกรมพิธีการ ส่งนำของกำนัลมาให้ท่านแม่ทัพขอรับ”
“...” เซียวเหยียนหลงเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้หานเจิ้งหลิวกล่าวต่อ
“เป็นสตรีวัยเพิ่งพ้นช่วงปักปิ่นสองนาง ใต้เท้าหวังได้ฝากคำพูดไว้อีกว่า เขาเห็นว่าท่านแม่ทัพมุ่งอยู่แต่กับกองทัพ ฝึกปรือทหารจึงอยากมอบความรื่นเริงไว้คลายเครียดท่านแม่ทัพขอรับ”
ความเงียบปกคลุมกระโจมอีกครา เซียวเหยียนหลงไม่ได้เปลี่ยนอารมณ์ไปจากเดิมเท่าไร เขาเพียงเปิดปากพูดขึ้นช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงราบเย็น
“ส่งกลับไป”
หานเจิ้งหลิวก้มศีรษะอย่างไม่ต่อความอีก เขาเองเพียงมาบอกกล่าวเท่านั้นในหัวได้เดาคำสั่งของผู้เป็นนายไว้เรียบร้อยแล้ว
“ฝากบอกหวังอี้ซานไปด้วย หากยังเหลือเวลาสนใจเรื่องความรื่นเริงของผู้อื่น งานส่วนที่เขารับผิดของคงไม่สนใจทำแล้วกระมัง”
คำขู่นี้ถือว่าเขาเอ่ยเตือนเป็นคราสุดท้าย ด้วยเพราะเซียวเหยียนหลงนั้นถือว่าเป็นบุตรชายในตระกูลชั้นกลางที่สำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่ม เพียงวัยยี่สิบต้น ๆ เขาก็ก้าวขึ้นตำแหน่งท่านแม่ทัพใหญ่ที่เป็นที่โปรดปราณของฝ่าบาทเสียแล้ว ไม่แปลกที่จะมีตระกูลขุนนางมากมายอยากผูกสัมพันธ์ด้วย
เวลาผ่านไปจวบจนดวงจันทร์ลอยสูงขึ้นสุดฟ้า เหยียนหลงก็วางพู่กันในมือลงก่อนเอ่ยคำสั่งท้ายสุดโดยไม่หันมองเพราะเขารู้ว่าอย่างไรผู้ช่วยหานก็ยืนอยู่
“คืนนี้ข้าไม่กลับจวน จัดที่นอนเช่นเดิม...”
