บทที่ 3 การกระทำแสนหยาบช้า
แสงแรกของรุ่งเช้ารำไรผ่านม่านบางสีอ่อนของเรือนใหญ่ ลู่ชิงหรูกำลังนั่งอยู่หน้าคันฉ่องทองเหลือง หวีผมอย่างประณีต ดวงใจกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะเช้าวันนี้นางตั้งใจจะไปส่งสามีที่หน้าจวนก่อนที่เขาจะออกไปทำงานที่ค่ายทหาร
เมื่อคืนถูกผลักไสอย่างไร้เยื่อใย แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลให้นางถอย การจะชิงตำแหน่งสตรีเพียงหนึ่งเดียวของพระเอกธงแดงนั้นคงไม่อาจอาศัยเพียงเสน่ห์หรือน้ำตา แต่ต้องอาศัยความพยายามที่มากขึ้นด้วย
ทว่าในขณะที่นางเพิ่งจะรวบผมปักปิ่นเรียบร้อย เสี่ยวเฉินก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมบ่าวอีกคนที่ส่งไปเฝ้าดูเรือนท่านแม่ทัพ
“ฮูหยินเจ้าคะ...” บ่าวนางคุกเข่าหอบเบา ๆ “ท่านแม่ทัพ...ขี่ม้าออกจากจวนไปแล้วเจ้าค่ะ เห็นว่าออกตั้งแต่ยามเหม่า (05.00 – 06.59 น.) เลย...”
มือที่ถือหวีของชิงหรูหยุดค้างกลางอากาศ นางไม่หัน ไม่ตอบ เพียงนั่งนิ่งอยู่หน้าคันฉ่อง เส้นผมยาวสลวยยังหล่นอยู่ข้างไหล่ เงาสะท้อนในกระจกเผยให้เห็นแววตานิ่งสงบ แต่กลับวูบไหวภายใน
“เช่นนั้นหรือ...” น้ำเสียงของนางเบา เหมือนไม่ตั้งใจให้ใครได้ยิน
เสี่ยวเฉินลอบมองสีหน้านายหญิง แล้วรีบเดินมาเก็บหวีด้วยท่าทางระวัง กลัวจะพูดผิดจนทำให้ความตั้งใจของฮูหยินพังทลาย
แต่ไม่ทันขาดใจในความเงียบ ชิงหรูก็ลุกขึ้นทันที จัดเสื้อคลุมด้วยท่าทีมั่นคง
“ไม่เป็นไร วันนี้ยังมีเวลาอีกทั้งวัน” นางยิ้มบาง ๆ “เขาไม่เห็นข้ายามเช้า ข้าก็จะไปให้เขาเห็นยามอื่นแทน”
หลังจากสะสางหน้าที่ในจวนตามตำแหน่งฮูหยินเอก ชิงหรูก็มุ่งหน้าไปยังครัวในอย่างไม่บอกใครก่อน บรรดาบ่าวพากันแปลกใจไม่น้อยที่นางลงมือเองทุกขั้นตอนเช่นนี้
นางหยิบวัตถุดิบมาล้างด้วยมือตนเอง ปอกเปลือก ตัดแต่งเนื้อหมู ต้มน้ำแกงเคี่ยวนเมื่อยมือ รสกลมกล่อมไม่ต่างจากตำรับจากร้านอาหารใหญ่ ขณะหั่นเห็ดหอมด้วยมีดเล่มบาง มือของนางนิ่งสนิท ดวงตากลับเต็มไปด้วยความตั้งใจอันหนักแน่นกับสิ่งที่ทำตรงหน้า
...ในชาติเดิม นางเคยยืนล้างจานอยู่หลังร้านอาหารฝรั่งแคบ ๆ ด้วยมือเปล่าในฤดูหนาว แต่ในชาตินี้นางอยู่ในเรือนใหญ่ มีบ่าวคอยรับใช้ มีมือที่ไม่แตกร้าว และสามารถหยิบวัตถุดิบชนิดไหนมาทำอาหารดั่งใจก็ได้ ช่างดียิ่งนัก
ทุกจังหวะการคน ทุกการชิม ทุกการวางลำดับจานชาม ล้วนเป็นงานละเอียดที่นางใส่ใจเหมือนกำลังวาดภาพหนึ่งภาพ แม้ไม่แน่ใจว่าผู้รับจะมองมันหรือไม่ แต่นางก็ยังทำ...
อาหารกลางวันถูกจัดวางลงในกล่องไม้หอมประณีต มีน้ำแกงตุ๋นไก่ยาจีน ซาลาเปาไส้เห็ดน้ำแดง ผลไม้ล้างปาก และน้ำชาร้อนที่ต้มเคี่ยวกับดอกเก๊กฮวย
ชิงหรูเข้าหาสามีด้วยเสน่ห์ทางร่างกายไม่ได้ นางก็จะใช่เสน่ห์ปลายจวักแทนก็แล้วกัน...
แดดยามสายส่องแรงแผดเผาเหนือพื้นดินแห้งแตกระแหง รถม้าที่บรรจุเพียงสตรีหนึ่งคนแล่นช้าลงเรื่อย ๆ เมื่อเข้าใกล้เขตแดนค่ายใหญ่ ธงกองทัพโบกสะบัดอยู่เบื้องบน
ลู่ชิงหรูลอบสูดหายใจในอก ...นี่คือครั้งแรกที่นางมายังค่ายทหารนี้
เมื่อรถม้าหยุดลงตรงหน้าค่าย ชิงหรูก้าวลงอย่างสำรวม เท้าเหยียบฝุ่นแดงจนชายกระโปรงเปื้อนเล็กน้อย ส่วนเสี่ยวเฉินนั้นก็ถือกล่องอาหารตามนางมา
“ขอรบกวนเวลาหน่อย ขอถามทางไปยังกระโจมของท่านแม่ทัพเซียวหน่อย?” ชิงหรูเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ทหารสองนายที่ยืนอยู่ใกล้ที่จอดรถม้าหันมามองอย่างงุนงง สายตาของพวกเขาไม่ได้มีแม้แต่ความเคารพ...มีเพียงความฉงน ประหลาดใจเท่านั้น รถม้าอันมีสัญลักษณ์ตระกูลเซียวนี้เข้ามาในค่ายได้ แต่ใครจะคาดคิดว่าคนที่โดยสารมาเป็นสตรีสองนางกันเล่า
ทหารหนึ่งในนั้นเอียงคอมองพวกนางไล่สายตาขึ้นลง
“พวกเจ้าเป็นผู้ใดกัน ถึงกล้าดีจะไปที่กระโจมท่านแม่ทัพ!?”
“ระวังปากเจ้าให้ดี!” เมื่อเจ้านายถูกมองดูถูกเสี่ยวเฉินก็ก้าวขึ้นหน้าด้วยความโกรธทันใด “นี่คือฮูหยินเอกของท่านแม่ทัพเจ้านายของพวกเจ้านะ!”
พวกเขาหยุดชะงักชั่วครู่ ก่อนที่ทหารอีกคนหัวเราะพรืด
“เช่นนี้นี่เอง งามถึงเพียงนี้ท่านแม่ทัพก็เลยไม่เคยพามาที่ค่ายสินะ ...หากฮูหยินของท่านแม่ทัพไม่พูดพวกเราก็นึกว่าเป็นหอนางโลมที่ส่งสตรีมาช่วยจรรโลงใจทหารในค่ายไปเสียแล้ว”
สายตาของพวกทหารนอกจากจะฉายควาบเต็มไปด้วยความไม่เชื่อแล้ว พวกเขายังทอดผ่านเรือนกายของพวกนางอย่างเปิดเผยและหยาบโลนอีกด้วย
ไม่แปลกที่พวกทหารในค่ายจะทราบข่าวเรื่องท่านแม่ทัพเซียวมีภรรยา แต่ก็ไม่คาดคิดว่านั่นจะทำให้พวกทหารไม่แม้แต่จะหยุดคิดและเอาคำพูดพวกนางไปเสาะหาความจริงด้วยซ้ำ
คงมั่นใจกันมากเลยสินะว่าเซียวเหวินหลงไม่มีฮูหยิน !
ในขณะที่เสี่ยวเฉินและชิงหรูกำลังหวาดหวั่นและไม่รู้จะทำอันใดต่ออยู่นั้น ก็เป็นนายทหารคนพูดนั่นล่ะที่คลายการขบขันและกลับมาทำหน้าจริงจังแล้ว
“เช่นนั้น…เดี๋ยวข้าพาฮูหยินของท่านแท่ทัพไปส่งเองแล้วกัน”
คนพูดหยักรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทำให้หัวใจคนมองเริ่มกระตุกวูบโหวง
ชิงหรูนิ่งคิดอยู่นาน นางกัดริมฝีปากแน่น ไม่พูดอะไรทันที ดวงตาสั่นไหวแต่ไม่หลบเลี่ยง แต่เมื่อคิดว่าอย่างไรนางก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องให้คนนำทางไปมอเช่นนั้นดวงอาทิตย์จะขึ้นกลางหัวเลยเวลาทานอาหารกลางวัน
ชิงหรูตัดสินใจพยักหน้ารับความช่วยเหลือ
ทหารสองนายเดินนำไป ชิงหรูและเสี่ยวเฉินจำต้องก้าวตาม ทุกย่างก้าวลึกเข้าไปในค่ายกลับ ยิ่งเงียบราวกับถูกแยกออกจากภายนอก ยิ่งเดินไปกลับยิ่งเปลี่ยว ยิ่งไร้เสียงมากขึ้น...
“เหตุใดถึงดูเหมือนไม่เห็นเส้นทางไปยังกระโจมที่น่าจะเป็นที่พักผ่อนของท่านแม่ทัพเลย...”
ชิงหรูกระซิบกับเสี่ยวเฉินเสียงแผ่วเบา หัวใจเริ่มรู้สึกเย็นเยียบรับรู้ถึงความผิดปกติ
จังหวะนั้นชิงหรูก็หยุดเท้าก่อนเอ่ยเสียงรายเรียบ พยายามให้เสียงสั่นน้อยที่สุด
“ข้าเหมือนจะพอรู้ทางไปยังกระโจมแม่ทัพแล้ว ข้าคิดว่าน่าจะเดินไปเองได้”
กล่าวจบก็จับมือเสี่ยวเฉินให้หันหลังกลับทันที ทว่ากลับมีมือหนึ่งของทหารจีบข้อมืออีกข้างและอีกคนก็ปรี่เข้ามาขวางอย่างรวดเร็ว
“จะไปไหนหรือ ฮูหยินของท่านแม่ทัพ ไม่อยากไปกระโจมแล้วหรือ...”
การกระทำนี้ถูกผู้เป็นบ่าวเข้ามาตีมือหยาบคายออกจากผู้เป็นเจ้านายทำให้ต่อมาเสี่ยวเฉินถูกผลักกระเด็นอย่างแรง ร่างบางล้มลงไปกองกับพื้นก่อนจะถูกกระชากผมขึ้น
เสียงร้องของเสี่ยวเฉินดังก้อง แต่รอบกายไม่มีใคร ไม่มีเสียงของสิ่งมีชีวิตเลย...
...พวกนางคงถูกพามายังบริเวณที่ร้างผู้คนของค่ายทหารเสียแล้ว
“ฮูหยินท่านหนีไปเจ้าค่ะ!”
แต่ชิงหรูกลับทำตรงข้าม นางตะโกนของความช่วยเหลืออย่างไม่อาย พยายามสะบัดแขนให้หลุดออกจากการจับเพื่อเข้าช่วยเสี่ยวเฉิน แต่ทันทีที่นางต่อต้าน หนึ่งในพวกมันก็ตวัดแขนต่อยเข้าที่ท้องขจองชิงหรูจนร่างน้อย ๆ ล้มพับลงทันใด
กล่องอาหารที่อุตส่าห์เตรียมไว้ตกลงพื้นไปนานแล้ว ชิงหรูล้มลงข้างฝากล่องอาหารที่เปิดออก นางมองเห็นเนื้อสัตว์ร่วงหล่นคลุกฝุ่น ไอร้อนลอยขึ้นครั้งสุดท้ายก่อนเย็นเฉียบไปตามฝุ่นดิน
“อย่า...จะเจ้ากล้าทำข้าหระ...หรือ”
ชิงหรูหอบหายใจแผ่วพยายามไม่ใส่ใจท้องที่ปวดร้าวของตนมากนัก น้ำตาไหลอย่างไม่รู้ตัว และนางก็พยายามคลานถอยหลัง ร่างกายสั่นสะท้านดูราวกระต่ายป่ายามถูกสัตว์นักล่าหลายตัวจับจ้อง
“กลัวหรือ? ฮูหยินของท่านแม่ทัพเซียวน่ะเจ้าวาดฝันไปแล้ว มาเป็นฮูหยินของข้าเสียดีกว่า !...”
พวกมันหัวเราะให้กัน ทันใดนั้นก็สาดสายตาหื่นกระหายและก้าวเข้าประชิด ชิงหรูพยายามควานหาอะไรสักอย่างมาปกป้องตนเองให้รอดพ้นจากชะตากรรมเช่นนี้ แต่แรงจากหญิงหนึ่งคน ย่อมไม่อาจเทียบบุรุษที่ผ่านการฝึกทหารหนักมาแล้วทั้งสองได้
แต่เหมือนว่าสวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งพวกนาง !
เงาใหญ่พุ่งแทรกเข้ามาก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป
“พวกเจ้ากำลังทำอันใด!”
ทหารทั้งสองชะงักเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ ร่างของบุรุษผู้หนึ่งในทหารยืนอยู่เบื้องหน้า ดวงตาคมเข้มเบิกโพลง เขาคว้าคอเสื้อทหารนายหนึ่งที่ก่อเรื่องและกระชากขึ้นมาอย่างคนที่มีฝีมือเหนือกว่า
“พวกเจ้าใช่ทหารสังกัดท่านแม่ทัพเซียวหรือ? ทำร้ายสตรีแม้แต่ในค่ายอย่างสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้ หากท่านแม่ทัพรู้จะจัดการพวกเจ้าอย่างไร?!”
บุรุษผู้นั้นผลักทหารสองคนที่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกกระแทกพื้นเกิดเสียงดัง พวกเขาดูหวาดเกรงทหารที่มาใหม่พอควร พอถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็รีบพากันหนีหายไปไม่เห็นหัวอย่างรวดเร็ว
เมื่อจัดการพวกเลวร้ายเสร็จแล้วเขาก็หันมาทางเสี่ยวเฉินที่รีบคลานมาดูเจ้านายตนเองแล้ว
ชายคนนั้นนิ่งไปอึดใจ หากเขาไม่บังเอิญเข้ามาหาของที่บริเวณกระโจมเก็บของไม่รู้ว่าพวกนางจะมีสภาพแย่ไปกว่านี้อีกเท่าไร
“สตรีมิอาจเข้ามาในค่ายทหารโดยพลการ พวกท่านเข้ามาในค่ายได้อย่างไร?”
เป็นเสี่ยวเฉินที่หันมาตอบทันใด “ฮูหยินของท่านแม่ทัพจะเข้ามาที่ค่ายทหารผิดด้วยหรือ?! เหตุใดจะเข้ามาไม่ได้!”
ชิงหรูเอื้อมจับแขนของบ่าวที่กำลังมีน้ำโห นางไม่อยากสร้างศัตรูให้มากอีกทั้งไม่อยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ใหญ่โตด้วย
“ข้าคือ...ฮูหยินของท่านแม่ทัพเซียวจริง ๆ หากท่านจะไม่เชื่อข้าก็ไม่รู้ต้องพิสูจน์เช่นไรแล้ว...”
น้ำเสียงสั่นแผ่วเบาเอ่ยอย่างไม่มีความหวัง ไม่ว่าจะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หรือ สิ่งที่นางเผชิญมาในอดีตล้วนทำให้ชิงหรูอ่อนแอมากนักในยามนี้ ในหัวของนางมีความคิดหลายอย่างเวียนวนจนมึนหัวไปหมด
หวังจื่อเฉินนั้นต่างจากนายทหารสองคนเมื่อครู่ตรงที่เขาใคร่ครวญพิจารณาข้อเท็จจริงประกอบไปด้วยอย่างไม่มีอคติ
สายตาแวบแรกของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ แม่ทัพเซียวที่ทหารในค่ายรู้จัก เด่นชัดเรื่องความโหดเหี้ยมเย็นชา แข็งกระด้าง ก็ไม่แปลกที่ไม่เคยเอ่ยถึงสตรีนางใดหรือแม้แต่ฮูหยินก็ตาม
ทว่าเมื่อเขากวาดสายตาไปทั่วร่างหญิงสาวตรงหน้า จากผ้าเนื้อดีลายปักละเอียด ผ้าคลุมบางขลิบดิ้นทอง รองเท้าสั่งทำพิเศษ และที่สำคัญแววตาดูสูงส่งคู่นั้นที่แม้จะผ่านความกลัวจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ยังพยายามจ้องกลับมาอย่างมั่นคง มันทำให้เขาเริ่มลังเล...
ไม่เคยได้ยิน... ว่า แม่ทัพเซียวแต่งงานแล้ว แต่ก็ไม่มีเสมอไปว่าเขาจะไม่แต่งงานเช่นกัน
จื่อเฉินหลุบตาลงคิดก่อนเงยหน้าขึ้นใหม่ ต่อให้ยังไม่แน่ใจ ต่อให้หญิงตรงหน้านี้จะเป็นฮูหยินจริงหรือไม่ก็ตาม พวกนางถูกพวกทหารชั้นปลายแถวกระทำหยาบช้าเช่นนี้ เขาก็ไม่คิดนิ่งเฉย
“ข้าน้อย...หวังจื่อเฉิน หัวหน้าหน่วยหนึ่งจะขอรับหน้าที่เรียกร้องความยุติธรรมให้พวกท่านเอง…”
