บทที่ 8
“แก้วใส เป็นไงบ้าง ฮือ เจ็บมั้ย”
หญิงสาวคนนั้นเสียงไม่เบาเลย ลูบหน้าลูบตาคนที่คิ้วแตกอย่างเป็นห่วง ถึงตอนนั้นเขาก็เห็นว่าน้ำตาของคนที่ได้แผลแล้วตนแอบตามมานั้นเริ่มไหลออกมาอย่างทะลักทลาย
ครืด ครืด
ยังไม่ทันได้ฟังสองคนนั้นคุยกันต่อ ก็มีสายเรียกเข้าดังจากโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นเสียก่อน
ภูผาเห็นว่าเป็นเบอร์จากไร่ ก็รีบรับสายแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น ตรงกลับขึ้นรถของตัวเอง เมื่องานได้เข้าจริง ๆ ตามที่เขาได้บอกนับหนึ่งเพื่อนสนิทเอาไว้ไม่มีผิด
ตอนนี้ละอองดาวหยุดร้องไห้แล้ว เธอนั่งอยู่ในร้านกาแฟเจ้าดังประจันหน้ากับเพื่อนสนิทที่กำลังนั่งกอดอกมองหน้า
อยู่ด้วยความเป็นห่วง
“แอ้มฉันไม่เป็นอะไรแล้วนะ ได้ร้องไห้ก็สบายใจขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ”
หญิงสาวส่งยิ้มให้เพื่อนสนิทวางใจ หลังจากหัวใจเริ่มรู้สึกเบาบางลงมาได้บ้าง
“ทำไมไม่บอกฉันห้ะว่าจะกลับบ้าน ถ้าฉันไปด้วยล่ะก็นะจะตบยัยนั่นเรียกสติสักหน่อย”
อ้อมแอ้ม หรือพิชญา นักธุรกิจสาวสวยที่ทิ้งการประชุมมาหาเพื่อนสนิททันทีที่ได้ข่าวว่าอีกฝ่ายตกบันได
เพราะณัฐชานนท์นั้นแอบส่งข้อความมาบอก ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดขึ้นมาอย่างมีน้ำโห
แก้วใสยิ้มแหยเมื่อเรื่องนี้เป็นความผิดของตนจริง ๆ เพราะคิดไม่ถึงว่าเวลานี้ดุจดาวเองก็อยู่ที่บ้านเหมือนกัน
“มันเป็นอุบัติเหตุน่า ฉันตกลงมาเองแหละ”
“แล้วคุยกับพ่อว่าไงบ้าง เฮ้อ ช่างเหอะไม่ต้องเล่า แล้วจะเอาไงต่อล่ะทีนี้”
เมื่อเห็นใบหน้าเพื่อนเริ่มหม่นหมองลงอีกครั้ง พิชญาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที เพราะเธอนั้นรู้ว่าตอนนี้เรื่องที่สำคัญ
ไม่ต่างกันก็คือเพื่อนของเธอได้ลาออกจากงานที่กรุงเทพแล้ว
“ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะกลับบ้านยาย อ้อ แล้วก็จะเปิดร้านกาแฟด้วย”
แก้วใสยิ้มออกได้อีกครั้งเมื่อพูดถึงความฝันของตัวเองที่กำลังจะกลายเป็นจริงในไม่ช้า พิชญาเองก็ไม่ต่างกันรีบโผเข้ามากอดคนตรงหน้าเอาไว้ด้วยความดีใจ
“จริงเหรอ เย้ ๆ ดีใจที่สุดเลย เงินทุนไม่พอขอฉันได้นะ โอ๊ย ดีใจอะไรอย่างนี้”
ทั้งสองคนนั่งหัวเราะด้วยกันอย่างขบขัน เมื่อในที่สุดแก้วใสก็ตัดสินใจทำร้านกาแฟของตัวเองสักที หลังจากคอยเป็น
บาริสต้าอยู่ในร้านของคนอื่นมานานหลายปี
วันนั้นพิชญาต้องรีบกลับไปเข้าประชุมต่อ ละอองดาวเองไม่อยากให้เพื่อนเสียงานเพราะตัวเองก็เลยรีบบอกว่าเธอไม่เป็นไรและจะรีบกลับบ้านคุณยายทันที
ละอองดาวเป็นผู้หญิงประเภทที่ทนกับความเจ็บปวดทางกายได้สูงอย่างไม่น่าเชื่อ แผลคิ้วแตกซึ่งต้องเย็บถึงเจ็ดเข็มไม่ได้ทำให้เธอเจ็บปวดจนขับรถไม่ไหวแต่อย่างใด
เมื่อหญิงสาวแยกกับเพื่อนสนิทแล้ว ก็ได้ขับรถส่วนตัวตรงกลับบ้านคุณยายซึ่งอยู่จังหวัดข้าง ๆ กันอย่างที่ได้บอกเพื่อนไว้ทันที
เป็นเวลาเย็นย่ำแล้วหลังจากที่ละอองดาวขับรถออกจากจังหวัดเชียงใหม่มากว่าสี่ชั่วโมง เมื่อมาจอดหน้าบ้านคุณยายก็สองทุ่มแล้ว
“น้องแก้วใสกลับบ้านเหรอลูก”
ขณะที่แก้วใสกำลังจะเดินไปเปิดประตูรั้ว เสียงร้องทักจากคุณป้าท่านหนึ่งที่ขี่จักรยานยนต์ผ่านมาก็ดังขึ้น เรียกความสนใจจากหญิงสาว
“ใช่ค่ะคุณป้า”
แก้วใสหันไปตอบคนแก่กว่าพร้อมกับรอยยิ้มสดใสก่อนจะก้มลงปลดกลอนประตูที่อยู่เบื้องหน้า
“กินข้าวเย็นหรือยังลูก”
“จะมากินกับคุณยายค่ะ คุณป้าล่ะคะ”
“ป้าไปซื้อกับข้าวสุกมาลูก ไปละเน้อ ลุงรอกินข้าว”
พูดจบคุณป้าเพื่อนบ้านที่แวะเข้ามาทักทายก็ขี่จักรยานยนต์ออกไป แก้วใสยิ้มกว้างรู้สึกอบอุ่นใจเหมือนทุกครั้งที่ได้กลับมาที่นี่
ผู้คนที่พูดเหนือมีน้ำใจโอบอ้อมอารี มีมารยาท และไม่เคยล้ำเส้นกัน ที่นี่จึงเรียกได้ว่าเป็นเซฟโซนของหญิงสาวเลยก็ว่าได้
“สวัสดีค่ะคุณยาย”
