5 . แย่มากกว่าเดิม
“.....”
ความเงียบปกคลุมเราทั้งคู่เอาไว้นานมากทีเดียว มันน่าอึดอัดเล็กน้อยตรงที่เขาดูเหมือนจะเป็นหนุ่มน้อยขี้อาย ส่วนเธอก็คุยไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่นัก
แต่ว่าโอกาสมาแล้วนะคามีย์ หากว่าเธอไม่คว้าเอาไว้ แล้วในหนึ่งเดือนนี้ยังหากินพลังเวทของใครไม่ได้เธอจะตุยนะเห้ย..
“ข้าไม่เคยเข้ามาในเมืองหลวงมาก่อนเลยค่ะ ท่านอาจจะมองว่าข้าดูเป็นหญิงสาวในชนบทก็ได้ แต่ว่าข้าไม่ค่อยรู้เรื่องของที่นี่เท่าไหร่นัก”
ดูเหมือนว่าเขาจะเสียมารยาทแล้วสินะ เพราะเขินอายมากเกินกว่าที่จะมองหน้าตรงๆ ด้วยเหตุนั้น บอนจึงไม่กล้าพูดคุยกับท่านคามีย์เลยแม้แต่ครึ่งคำ
“ขออภัยด้วยนะครับ เพราะว่าข้าคืออัศวินศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดคุยกับสตรีเท่าไหร่นัก..คะ..คือว่าที่ด้านนั้นเป็นย่านการค้าครับ ไม่ทราบว่าท่านคามีย์อยากไปชมรึเปล่า”
เธอค่อยๆ แย้มยิ้มออกมาที่มุมปาก อย่างน้อยที่สุดท่าทีของเขาก็ห่างไกลคำว่ารังเกียจไปมากทีเดียว ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย
“อยากค่ะ ข้าอยากไปดูย่านการค้าสักหน่อย..รบกวนด้วยนะคะท่านบอน”
เขาไม่ควรเกิดความรู้สึกพึงใจหรือว่าความรู้สึกใดๆขึ้นมาเลยในระหว่างนี้ เขาไม่ควรชื่นชมและหวั่นไหวไปกับความงดงามนั้น..
เพราะจุดยืนของเขาและเธอมันแตกต่างกันมากเกินไป..
“อัศวินศักดิ์สิทธิ์ ช่างน่าละอายยิ่งนักที่ข้าเห็นเจ้ามาเดินตามแม่มดเช่นนี้!”
ชายที่พ่นคำเหยียดหยามเช่นนั้นออกมา สวมชุดสีงาช้างขลิบทอง เขาดูสูงส่งและสง่างามราวกับเทวดาที่เดินอยู่บนพื้นของโลกมนุษย์ บรรยากาศรอบๆ ตัวของชายผู้นั้นแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง
“ขออภัยด้วยครับท่านคาดินัน..คือว่าข้า...”
ดวงตาคมกริบเบนสายตามาจับจ้องที่ใบหน้าของเธอ ก่อนที่ชายที่ได้ชื่อว่าคาดินันจะยกมือขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้ราวกับว่าได้กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
“เจ้าควรรีบกลับไปที่วิหาร แล้วสวดภาวนาสักร้อยรอบเพื่อที่เจ้าจะได้รู้ซึ้งว่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ของวิหาร ไม่สมควรยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่โสมมเช่นแม่มด..แค่อยู่ใกล้ข้าก็รู้สึกราวกับจะอาเจียนออกมากับความต่ำตมนั้นแล้ว”
อา..หมอนี่ ด่าครั้งแรกยังพอเข้าใจได้ แต่ด่าครั้งต่อไปนี่มันยังไงกันวะ เขาเห็นว่าฉันคือแม่มดใสซื่อที่จะยืนให้เขาด่าฟรีๆงั้นเรอะ
“เรายังไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยนะคะ แต่ท่านคาดินันผู้สูงส่งกลับพ่นคำดูถูกข้าออกมามากมายราวกับว่าท่านรู้จักข้าเป็นอย่างดี”
เธอเดินเข้าไปใกล้เขา และในวินาทีนั้นอัศวินที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาก็เข้ามาขวางในทันที
“ท่านไม่มีสิทธิ์ทำให้ท่านคาดินันของเราแปดเปื้อนนะครับ”
“อย่างนั้นเองสินะคะ แล้วคาดินันของพวกท่านมีสิทธิ์อันใดมาทำให้ชื่อเสียงของข้าแปดเปื้อนกันล่ะ! ทั้งที่เราต่างคนต่างอยู่แถมไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ท่านกลับพูดจาใส่ร้ายข้าถึงเพียงนั้น นี่คนนะโว้ยไม่ใช่เศษดินหรือว่าหิน! จะได้ทนฟังคำที่ผู้อื่นกล่าวออกมาเพื่อว่าร้ายตัวเองได้น่ะ!”
“นี่เจ้ากล้าเถียงข้าอย่างนั้นหรือ ข้าคือตัวแทนของพระเจ้า ข้าคือผู้สูงส่ง เจ้ามีสิทธิ์อันใดมากล่าวเถียงข้าเช่นนี้กัน..”
“ผลัวะ!!”
ความไวนั้นทำให้อัศวินที่กำลังยืนอยู่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ พวกเขากำลังยืนฟังท่านคาดินันและแม่มดเถียงกันไปมา แล้วอยู่ๆ กำปั้นนั้นก็ลอยไปกระแทกหน้าของท่านคาดินันจนเขาล้มลง..
“ตัวแทนของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ? สูงส่งมาจากไหนพวกท่านก็เอาชนะพลังในตัวไม่ได้อยู่ดี สุดท้ายหากอยากมีชีวิตต่อก็ต้องพึ่งพาแม่มดไม่ใช่รึไง..”
ฟอสเตอร์ลุกขึ้นก่อนที่เขาจะเช็ดเลือดที่มุมปาก
“ข้ายอมตายดีกว่ายอมเป็นทาสของเจ้า นอกจากต่ำช้าเจ้ายังชอบใช้ความรุนแรงด้วยสินะ..ช่างเป็นสตรีที่สมควรอยู่ให้ห่างจริงๆ”
ยอมตายก็ยอมไปสิ..เธอไม่เห็นต้องง้อเขาเลย ยังมีบุรุษอีกมากมายที่ไม่อยากตายน่ะ..
.....................
“ข้าจำได้ว่าข้าให้เจ้าออกไปข้างนอก เพื่อตามหานักเวทที่พอจะหลงใหลในความงดงามนี้ แต่เจ้ากลับไปต่อยคาดินันต่อหน้าผู้คนมากมายเนี่ยนะ..คามีย์นั่นเจ้าเสียสติไปแล้วรึไง"
เธอเองก็อยากจะถามตัวเองแบบนั้นเหมือนกัน เธอทำไปทำไมกันวะ ทั้งที่อยากจะเปลี่ยนภาพลักษณ์แม่มดใหม่ อยากให้นักเวทมองว่าแม่มดอย่างเธอนะเป็นคนอ่อนโยนที่ไม่มีวันจะนำสัญญาทาสมาผูกมัดพวกเขาอย่างแน่นอน แต่เธอดันไปใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา แถมยังเป็นสถานที่ที่มีผู้คนมากมายพบเห็นอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นตอนนี้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับต่างก็กำลังลงข่าวของเธออยู่
แม่มดผู้ใช้ความรุนแรงกับท่านคาดินันผู้สูงส่ง
ท่านคาดินันถูกแม่มดจอมโหดร้ายเล่นงาน
สตรีผู้มีดีเพียงแค่ใบหน้าเท่านั้น ส่วนนิสัยกลับชั่วร้ายสมกับเป็นแม่มด
หนังสือพิมพ์พวกนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขาจะเข้าข้างใคร..แถมเธอดันผิดจริงเพราะเธอต่อยคาดินันไปจริงๆ
สงสัยว่าเธอจะต้องตุยภายในหนึ่งเดือนโดยที่ไม่ได้กินพลังเวทของใครสักคนแล้วละสิ จากที่มันแย่อยู่แล้วกลายเป็นว่าเธอทำให้มันแย่มากกว่าเก่า
“ไม่ต้องเสียใจไป เรื่องเช่นนี้อีกไม่นานผู้คนก็ลืมไปเอง..ข้าได้ยินมาว่าที่ร้านสุรามีนักเวทผู้หนึ่งซ่อนตัวอยู่ที่นั่น เขาคือบุรุษผู้เป็นนักระบำเบอร์หนึ่งของร้าน มีใบหน้าที่งดงามยิ่งกว่าสตรี อีกทั้งปีนี้เขาก็อายุยี่สิบเก้าแล้ว..”
นี่คือเหตุผลว่าทำไมในเมืองนี้ไม่มีคนเเก่เลยอย่างนั้นสินะ เพราะอายุเฉลี่ยของนักเวทคือสามสิบปี..ทำไมมันฟังดูสะเทือนใจชะมัดเลยแฮะ
“เจ้าลองใช้ความสงสารของเจ้าในการยื่นข้อเสนอให้เขาสิคามีย์”
เธอมองหน้าของท่านพี่เชรีด้วยความไม่เข้าใจ
“น่าแปลกที่ข้าไม่เคยเห็นพี่ออกไปข้างนอกเลย แต่พี่กลับรู้เรื่องต่างๆ ได้ดีกว่าข้ามาก”
เชรียกยิ้มเศร้าๆ ขึ้นมา
“คงเป็นเพราะพี่มีสายข่าวที่ดีน่ะ..คืนนี้เจ้าลองไปที่นั่นดูสิ พยายามเข้านะคามีย์”
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเชรีถึงชื่นชอบเด็กคนนี้มากนัก เธอไม่อยากให้คามีย์ตายโดยที่ไม่ได้ลิ้มรสเลือดแสนหวานของนักเวทเลย
“แล้วก็ตอนที่ทำสัญญาทาสหลังจากดื่มเลือด อยู่ที่เจ้าแล้วว่าจะทำสัญญากับเขากี่ปี..แต่ขอเตือนเอาไว้เลยว่าควรจะทำสัญญาปีต่อปี ไม่ควรทำสัญญาถาวรเพราะระยะเวลาที่ยาวนานมันจะกลืนกินชีวิตของเจ้าไปด้วย”
แววตาของคามีย์มุ่งมั่นขึ้นมาในทันที
“ขอบคุณนะคะ ข้าจะนำคำแนะนำของพี่ไปใช้อย่างดีเลย ข้าไปก่อนนะคะพี่เชรี!”
เชรียกมือขึ้นมาโบกไปมาเพื่อกล่าวอำลาคามีย์ผู้มุ่งมั่น
“โชคดีนะเด็กน้อย..”
“ครั้งนี้เจ้าคิดว่าจะสำเร็จรึเปล่าเชรี”
เขา..เข้ามาในห้องโดยที่ไม่บอกเธออีกแล้ว
“สำเร็จสิ คามีย์คงตั้งใจอย่างสุดความสามารถแน่ๆ”
เสียงหัวเราะที่น่าขนลุกดังขึ้นมา
“แต่เจ้าหนุ่มคนนั้น..อาจจะไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วก็ได้นะ บางทีความตายอาจเป็นสิ่งที่เขารอคอยมาโดยตลอด..”
